ท่านคิดว่าน้องหมาพันธุ์ไหนน่ารักที่สุด

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

10สายพันธุ์สุนัขฉลาดที่สุด

สุนัขถือได้เป็นสัตว์ที่แสนรู้อันดับต้นๆ ในบรรดาสัตว์ประเภทต่างๆ และในวันนี้พี่ปัดมี 10 อันดับสายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลกมาฝากจ๊ะ โดยวัดจากการที่สุนัขสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำสั่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร๋ว


อันดับ 1 : Border Collie
ลักษณะนิสัยขี้เล่น ร่าเริง เป็นมิตร
มีความสามารถในการเรียนรู้สูง ประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ
เช่น เสียง สิ่งเคลื่อนไหว และกลิ่น
อันดับ 2 : Poodle
เสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้อยู่ที่ ฉลาด รู้ภาษา ร่าเริง ช่างประจบ
อันดับ 3 : German Shepherd
ลักษณะนิสัยกระตือรือร้น ตื่นตัว กล้าหาญ
ร่าเริง เชื่อฟัง กระหายที่จะเรียนรู้และฉลาดมาก
มักถูกใช้ต้อนแกะ เฝ้ายาม กิจกรรมต่างๆ ของตำรวจ
นำทางคนตาบอด แกะรอยค้นหา
อันดับ 4 : Golden Retriever
ลักษณะนิสัยเป็นมิตร สุภาพ ใจดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถพิเศษในการจดจำ
ง่ายต่อการฝึกฝน กระฉับกระเฉง
อันดับ 5 : Doberman Pinscher
ลักษณะนิสัยฉลาด กล้าหาญ ตื่นตัว เชื่อฟัง คอยระวังภัยตลอดเวลา
จัดว่าเป็นสุนัขอารักขาที่ดีที่สุดในโลก
อันดับ 6 : Shetland Sheepdog
ลักษณะนิสัยฉลาด มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์
รักเด็ก และมีสัญชาตญาณที่ดีด้วย
อันดับ 7 : Labrador Retriever
ลักษณะนิสัยฉลาด ใจดี เป็นมิตร สุภาพ ไม่ก้าวร้าว
ตอบสนองรวดเร็ว ปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้ง่าย
สามารถฝึกความสามารถพิเศษอื่นๆ ได้มากมาย
เช่น ค้นหาผู้ประสบภัย ค้นหายาเสพติด ฯลฯ
อันดับ 8 : Papillon
ลักษณะนิสับฉลาด แข็งแรง กล้าหาญ รักเจ้าของ ขี้เล่น
กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งรอบข้าง เป็นมิตร
และพร้อมที่จะปกป้องเจ้าของจากผู้บุกรุก
อันดับ 9 : Rottweiler
ลัษณะนิสัยเป็นสายพันธุ์ที่มีสัญชาตญาณที่ต้องเอาตัวรอด
แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ให้เป็นสุนัขที่มีความฉลาด
ชอบการสัมผัสอย่างทะนุถนอม และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หากได้รับการฝึกฝนที่ดีจะเป็นสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่ง
ใจเย็น เป็นทั้งเพื่อนและยามเฝ้าบ้านที่ดี
อันดับ 10 : Australian Cattle Dog
เป็นสุนัขสายพันธุ์ใหม่ ที่มีต้นกำเนิดมาจากการทดลองผสมข้ามพันธุ์
มีความอดทนเหมือนสุนัขพื้นเมือง มีความสามารถทางปศุสัตว์
ซื่อสัตย์ และฉลาด

ความรู้ก่อนเลี้ยงบีเกิ้ล

บีเกิ้ล
ในระยะนี้เรามักได้เห็นความน่ารักของเจ้าตูบพันธุ์บีเกิ้ลผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ จนทำให้หลายคนตกหลุมรักเจ้าตูบพันธุ์นี้ซะจนอยากได้มาเป็นเลี้ยงสักตัว ก็เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นน้องหมาที่มีใบหน้าน่ารัก หูปรก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน แถมยังเป็นสุนัขที่รักเด็ก  เข้ากับคนง่ายและเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจไปรับสมาชิกใหม่พันธุ์นี้มาเพื่อนสี่ขาคู่ใจ ลองไปทำรู้จักกับเจ้าบีเกิ้ลกันก่อนดีกว่าค่ะ

          บีเกิ้ล (Beagle) เป็นสุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ จัดอยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ถูกพัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาคเพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย เนื่องจากบีเกิ้ลมีประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ 
  ขณะเดียวกันบีเกิ้ลก็ได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีขนาดตัวที่พอเหมาะ เป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงออกแนวอึด ทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิ้ลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย ทั้งนี้ สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลมีมากว่า 2,000 ปีแล้ว และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท (Elizabethan era) ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้ (Snoopy) ซึ่งสนู๊ปปี้ถือเป็นบีเกิ้ลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก

          ในปี ค.ศ.1985 ได้มีการทำการศึกษาบีเกิ้ล พร้อมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ อย่าง ยอคเชียร์ เทอเรีย(Yorkshire Terrier) เคนท์ เทอเรีย (Cairn Terrier) เวส ไฮด์แลนด์ ไวท์ เทอเรีย (West Highland White Terrier) ฟอกซ์ เทอเรีย(Fox Terrier) ซึ่งผลออกมาว่า บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาด้วยจุดประสงค์เดียว คือให้เป็นนักล่ามาเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝึกค่อนข้างยาก โดยทั่วไปเมื่อมันรับคำสั่งแล้ว จะสั่งยกเลิกได้ยาก และเมื่อมันจดจำกลิ่นหนึ่งได้ มักจะถูกกลิ่นอื่นรอบตัวเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่าย พวกมันจะไม่ค่อยยอมรับคำสั่งทั่วๆ ไป แต่ก็มีการตอบสนองต่ออาหารที่ดี มีความตื่นตัวสูง ช่างประจบ ในทางกลับกันก็เป็นสุนัขที่เบื่อง่าย

บีเกิ้ล
          ปัจจุบันบีเกิ้ล ได้รับการเลือกเป็นหนึ่งในสุนัขดมกลิ่น ที่ใช้ตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ในงานด้านความมั่นคง และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ (Beagle Brigade) บีเกิ้ลกับบทบาทด้านความมั่นคงในการตรวจสอบตามสนามบิน ซึ่งในปีหนึ่งๆ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุผิดกฎหมาย ได้ถึง 75,000 รายการต่อปี อีกเหตุผลหนึ่งที่บีเกิ้ลได้รับเลือกในหน้าที่นี้ เพราะว่าบีเกิ้ลมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก สามารถเข้าไปตรวจได้แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างกลัวสุนัข ดูแลง่าย ฉลาด และมันทำงานเต็มที่เพื่อรางวัล ซึ่งในหลายประเทศก็ได้มีการ ใช้งานบีเกิ้ลในลักษณะนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนสุนัขดมกลิ่นขนาดใหญ่ ก็จะใช้ในงานค้นหาวัตถุระเบิดโดยเฉพาะ และงานที่จำเป็นต้องปีนป่ายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งบีเกิ้ลไม่ค่อยเหมาะกับหน้าที่ลักษณะนั้น

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไป

          บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า

          นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดีๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ 

อาหารและการเลี้ยงดู

          แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุที่จุดประสงค์ดั้งเดิมที่เค้าถูกพัฒนาขึ้นมาคือการเป็นสุนัข สำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกเค้ามีพลังงานในตัวมากและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงจึงควรพาไปออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีบริเวณกว้างขวางนัก อย่างเช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ คุณก็จะต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพอมีเวลาและมีสวนสาธารณะใกล้เคียงที่คุณสามารถพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังได้หรือไม่


          อย่างไรก็ดี สุนัขเหล่านี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะพวกมันช่างไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนเอาเสียเลยและมักมีความเข้าใจอย่างผิดๆ ว่ารถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อน


          ด้านการดูแลทำความสะอาดให้สุนัขขนสั้นอย่างบีเกิ้ลนั้นแสนง่าย แค่อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมๆ กับแปรงขนไปด้วย หรือถ้าไม่สกปรกมากอาจใช้แค่ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้ก็ได้ ส่วนเรื่องการแปรงขนให้บีเกิ้ลสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากว่าเค้ามีขนสั้นและสีเข้ม ซึ่งควรแปรงขนทุกๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไปและช่วยเพิ่มความเงางามแข็งแรงแก่เส้นขน


          ส่วนเรื่องอาหารการกิน หากเราต้องการให้เค้ามีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งวิธีการให้อาหารแก่บีเกิ้ลที่ถูกต้องก็มีดังนี้

           บีเกิ้ลอายุระหว่าง 2-3 เดือน ควรให้อาหารเม็ดวันละ 4 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย (ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง) โดยอาจใช้ถ้วยกาแฟขนาดเล็กตวง ผสมกับอาหารกระป๋อง 1 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้ทั่ว 


           บีเกิ้ลอายุระหว่าง 3-4 เดือน ควรให้อาหารเม็ดวันละ 3 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย (ทุกๆ 6-8 ชั่วโมง) ผสมอาหารกระป๋อง 1 ช้อนโต๊ะ


           บีเกิ้ลอายุระหว่าง 4-12 เดือน ควรปรับมาให้อาหารเม็ดวันละ 2 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย หรืออาจจะมากน้อยกว่านั้นเล็กน้อย โดยให้สังเกตดูรูปร่าง ถ้าท้องป่องมากเกินไปควรลดจำนวนอาหารแต่ละมื้อลงบ้าง และต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับระดับการออกกำลังกายของเค้าด้วย หากบีเกิลของคุณมีโอกาสออกกำลังกายน้อย ปริมาณอาหารที่ให้ก็ควรปรับลดลง


           เมื่อบีเกิ้ลอายุครบ 12 เดือนขึ้นไป สามารถลดปริมาณการให้อาหารเหลือวันละ 1 มื้อ มื้อละ 1-1/2 ถ้วย ก็เพียงพอแล้ว 


           นม ไม่จำเป็นต้องให้นมลูกสุนัขอีกหลังจากอายุครบ 2 เดือนขึ้นไป เพราะเมื่ออายุพ้น 2 เดือนแล้วเค้าจะสามารถหาแคลเซียมทดแทนจากการกินอาหารสำเร็จรูปได้


           อาหารเสริม สำหรับบีเกิลป่วยอาจให้อาหารเสริมบ้าง แต่ไม่มีความจำเป็นต้องให้อาหารเสริมในยามที่เค้ามีสุขภาพปกติ


           อาหารคน ไม่ควรให้อาหารของคนกับบีเกิ้ลโดยเด็ดขาด เพราะเค้าอาจติดใจรสชาติ กลิ่นของอาหารคน และไม่อยากกินอาหารเม็ดอีกต่อไป นอกจากนั้นการให้อาหารสดยังอาจทำให้เค้าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไปจนทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อเค้าอายุมากขึ้น เช่น ปัญหาด้านการเจริญเติบโต ปัญหาสุขภาพขน การให้อาหารสดอาจให้บ้างเล็กน้อยเพื่อใช้เป็นรางวัลสำหรับการฝึกเท่านั้น (ซึ่งอาจเป็นจำพวกตับ ไส้กรอก แฮม หรือชีส ก็ได้) 


           ห้ามให้สุนัขกิน ช็อกโกแลตและหัวหอม เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้สุนัขเป็นอันตรายถึงตายได้

 เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับบีเกิ้ล 
  
           ความสูงมากที่สุดของบีเกิ้ลที่ได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกาคือ 15 นิ้ว ขณะที่ในประเทศอังกฤษคือ 16 นิ้ว 

           สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลจะไม่มีน้ำลายไหลเยิ้ม ไม่ค่อยมีกลิ่นสาบ และผลัดขนน้อยมาก


           Lyndon B. Johnson ประธานาธิบดีคนที่ 36 แห่งสหรัฐอเมริกา เลี้ยงสุนัขบีเกิลจำนวน 3 ตัว ชื่อว่า Him, Her และ Edgar


           ตัวการ์ตูนสนูปปี้ (Snoopy) จากการ์ตูนชุด Peanuts ของ Charles M. Schulz ก็มีต้นแบบมาจากสุนัขสายพันธุ์บีเกิล 

10. บีเกิ้ล


10. บีเกิ้ล
   ในระยะนี้เรามักได้เห็นความน่ารักของเจ้าตูบพันธุ์บีเกิ้ลผ่านสื่ออยู่บ่อย ๆ จนทำให้หลายคนตกหลุมรักเจ้าตูบพันธุ์นี้ซะจนอยากได้มาเป็นเลี้ยงสักตัว ก็เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นน้องหมาที่มีใบหน้าน่ารัก หูปรก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน แถมยังเป็นสุนัขที่รักเด็ก เข้ากับคนง่ายและเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ด้วยนะ แถมมันยังติดอันดับหนึ่งในสิบสุนัขที่มีความนิยมมากว่า 30 ปี และเป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่นิยมในอเมริกา ใน U.K.C. ของสหรัฐอเมริกา 

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 

          บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า

          นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็ก ๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดี ๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 

          แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุที่จุดประสงค์ดั้งเดิมที่เค้าถูกพัฒนาขึ้นมาคือการเป็นสุนัข สำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกเค้ามีพลังงานในตัวมากและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงจึงควรพาไปออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีบริเวณกว้างขวางนัก อย่างเช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ คุณก็จะต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพอมีเวลาและมีสวนสาธารณะใกล้เคียงที่คุณสามารถพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี สุนัขเหล่านี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะพวกมันช่างไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนเอาเสียเลยและมักมีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่ารถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อน

          ด้านการดูแลทำความสะอาดให้สุนัขขนสั้นอย่างบีเกิ้ลนั้นแสนง่าย แค่อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมๆ กับแปรงขนไปด้วย หรือถ้าไม่สกปรกมากอาจใช้แค่ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้ก็ได้ ส่วนเรื่องการแปรงขนให้บีเกิ้ลสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากว่าเค้ามีขนสั้นและสีเข้ม ซึ่งควรแปรงขนทุกๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไปและช่วยเพิ่มความเงางามแข็งแรงแก่เส้นขน

          ส่วนเรื่องอาหารการกิน หากเราต้องการให้เค้ามีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งวิธีการให้อาหารแก่บีเกิ้ลที่ถูกต้องก็จะเป็นไปตามช่วงวัยนั่นเอง

ความรู้เรื่องสุนัขปักกิ่ง


 ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" 

          โดยใน ปักกิ่ง เป็นสุนัขชั้นสูงในราชสำนักจีน ทำให้ทุกวันนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ยังคงมีบุคลิกแบบสวย เริ่ด เชิด และหยิ่งในศักดิ์ศรี พร้อมด้วยอาการดื้อดึงแต่พองาม มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ประกอบกับมีท่าทีการเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม อารมณ์ดีแต่สงบเงียบ ไม่เอะอะหรือร่าเริงเกินเหตุ แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งจนน่าเบื่อ ยิ่งหากได้คลุกคลีจนคุ้นเคย ปักกิ่ง ก็จะเป็นเพื่อนสี่ขาที่น่ารักเป็นที่สุด

          สำหรับในประเทศไทย ปักกิ่ง เคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้ จากนิสัยและความสวยงามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งยังมีประวัติน่าสนใจเสียด้วยสิ...
ประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 
ตามประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัดว่า สุนัขพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด หากสืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุด ก็พบหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนัก สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 8 โดยมีเรื่องเล่าว่า ในอดีต สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ถือเป็นสุนัขต้องห้าม กล่าวคือ จะเลี้ยงได้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวด นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์เด็ดขาด ถ้าใครคิดหาญขโมย มีโทษถึงตาย!!

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ที่เป็นสุนัขประจำตัวของกษัตริย์ จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ หากกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตามไปปกป้องกษัตริย์หลังความตาย สุนัขพันธุ์นี้ จึงถูกจดจำในฐานะสุนัขที่มีความภักดีต่อผู้เป็นนาย และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงถูกนำไปสร้างรูปจำลองแกะสลักวางไว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ด้วย

          ทั้งนี้ ใน ค.ศ.1860 อังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ราชสำนักจีนก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะสั่ง "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง ทว่ามี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 5 ตัว เหลือซ่อนอยู่ ว่ากันว่า เป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา และเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น และพวกมันถูกนำไปยังดินแดนของอังกฤษ ก่อนจะถูกถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย

          3 ปี นับจากถูกนำตัวไปอังกฤษ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็เริ่มปรากฎโฉมต่อสาธารณชน ซึ่งผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้นของสุนัขพันธุ์นี้ จากนั้นความนิยมในการเลี้ยง ปักกิ่ง ก็กระจายไปทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 ก่อนจะมีการจัดตั้ง Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก

 ลักษณะทั่วไป สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 

          ปักกิ่ง จะมีรูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ท่วงท่าการเดินสง่างามอย่างยิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะขนช่วงแผงคอยาวแผ่คล้ายสิงโต ซึ่งแม้จะดูตัวเล็ก แต่หากอุ้มจะรู้สึกหนักมากกว่าที่คิด เพราะโครงร่างของปักกิ่ง มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกหนา โดยปกติจะมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 10-14 ปอนด์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 14-17 ปี   

          ทั้งนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้รับสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ดังนี้

          1. Lion Dogs หรือ หมาสิงโต เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง

          2. Sun Dogs เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ

          3. Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะขนาดตัวที่เล็ก จนสามารถใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

 ลักษณะนิสัย สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 
   ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่ ปักกิ่ง ก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย 

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์ ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธ์อื่น ๆ เลยสักนิด 

          อย่างไรก็ดี ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์

 การเลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น ปักกิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย  

 มาตรฐานสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          กะโหลก หนาแบนและกว้าง

          จมูก สีดำ กว้าง สั้น อยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี

          ตา ตากลมใหญ่ แต่ไม่โปน นัยน์ตาสีดำเข้มเป็นประกาย ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว

          ใบหน้า โหนกแก้มสูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน

          ปาก เป็นสีดำ ขากรรไกรล่างกว้างและยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท

          ขน ยาว หนา และตรง ไม่หยิกเป็นคลื่น แบ่งเป็น 2 ชั้น ขนชั้นในจะแน่นและนุ่นกว่าขนชั้นนอก ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ 

          ขา ขาสั้น กระดูกใหญ่ เท้าแบน

          ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลัง เพราะซี่โครงกางออกมากกว่าอกกว้าง ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรง ไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน มีลักษณะบึกบึนแข็งแรง

          หาง โคนหางตั้งสูง ขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง

9. ปักกิ่ง


9. ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย  

ความรู้สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (ยอร์คกี้)


ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (ยอร์คกี้)
YORK TIME STORIES (Dogazine)
 จาก สุนัข โนเนมแห่งท้องทุ่งและเหมืองถ่านหินอ้างว้างห่างไกลเมือง ยอร์คเชียร์ ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีชีวิตประจำวันเป็นสุนัขใช้งาน รับหน้าที่ในการตามล่าและไล่จับเจ้าหนูตัวร้ายจอมป่วน... มาวันนี้ หากลองพิมพ์ชื่อของเขาลงในอินเทอร์เน็ต คงมีเรื่องราวมากมายปรากฎขึ้นให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว

          หลายคนคงนึกออกแล้วว่า เรากำลังพูดถึงเจ้าสุนัขตัวน้อยขนยาวสายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier) หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "ยอร์คกี้" นั่นเอง

          ทุกวันนี้ ไม่มีใครนิยมเลี้ยง สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย หรือเจ้า ยอร์คกี้ ไว้เพื่อใช้งานในไร่อีกแล้ว ทว่าพวกเขาได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ สุนัข กลุ่มทอยที่เฉลียวฉลาด ขนสวย น่ารัก เหมาะสำหรับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนที่รู้ใจ แต่ในเรื่องของการดูแลสุนัขพันธุ์นี้นั้น อยากจะบอกว่าถึง ยอร์คกี้ จะถูกเรียกว่า สุนัข "ทอย" แต่จะเลี้ยงเขาแบบ "ของเล่น" ไม่ได้หรอกนะ...เอ แล้วการดูแล ยอร์กี้ ยอร์คเชีย เทอร์เรีย ต้องทำอย่างไรบ้างนั้น อยากรู้ตามมาเลยยย..

รู้จักมักจี่ ยอร์คกี้ ตัวน้อย

          สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มทอย ด็อก (Toy Dog) โดย American Kennel Club (AKC)

          ชื่อเสียงเรียงนาม "ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย" มีที่มาจากชื่อเมือง ยอร์คเชียร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขานั่นเอง

          ชื่อของ ยอร์คเชียร์ นิยมเรียกติดปากสั้นๆ ว่า "ยอร์คกี้"

           สุนัข ยอร์คเชียร์ ถูกเลี้ยงไว้ใช้งานในไร่นาและเหมืองถ่านหิน โดยส่วนใหญ่มีหน้าที่กำจัดหนู จนกระทั่งช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกเขาจึงถูกค้นพบโดยกลุ่มชนชั้นสูง และเริ่มกลายเป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน (Companion Dog)

          แม้ ยอร์คเชียร์ จะได้ผันตัวมาเป็น สุนัข สำหรับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่น แต่ด้วยสายเลือดของ สุนัข เทอร์เรีย ที่ยังไม่จางหาย ทำให้ ยอร์คเชียร์ เป็นสุนัขตัวเล็กที่เปี่ยมด้วยพลัง ชอบเล่น และอยากรู้ อยากเห็น นอกจากนั้น ยังชอบผจญภัย รักอิสระ และไม่ค่อยรู้จักความกลัว

          ด้วยความเป็น สุนัข ที่มีนิสัยกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใคร ทำให้ ยอร์คเชียร์ มักไม่สนใจว่าตัวเองนั้นตัวเล็กกระจิดริดแค่ไหน เมื่อเจอคนแปลกหน้า ยอร์คเชียร์ จึงพร้อมที่จะเห่าเตือนเจ้าของเสมอ

          สุนัข ยอร์คเชียร์ ในสมัยก่อนมักมีน้ำหนักเฉลี่ยถึง 6  กิโลกรัม ขณะที่ปัจจุบันน้ำหนักเฉลี่ยของพวกเขาจะอยู่ที่ 1-5.4 กิโลกรัมเท่านั้น

          สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เหมาะกับคนทุกช่วงอายุ และเป็น สัตว์เลี้ยง ที่ดีสำหรับคนโสดหรือผู้ไม่มีบุตร หากบ้านใดมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัว ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีปฏิบัติตัวและวิธีเล่นกับ ยอร์คเชียร์ เพราะหากเด็กเล่นกับเขาแรงๆ ก็อาจทำให้เขาบาดเจ็บได้ง่าย เพราะเขาตัวเล็กและบอบบาง บางทีอาจอันตรายถึงชีวิต หรือหาก ยอร์คเชียร์ ถูกเด็กแกล้งเป็นประจำ ก็จะทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นกัดคน หากพ่อแม่รู้จักสอนลูกๆ ให้ปฏิบัติตัวต่อยอร์คเชียร์ อย่างดีแล้ว เขาก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่ดีได้เช่นกัน

การดูแล สุนัข ยอร์คเชียร์ 

          การอาบน้ำให้ สุนัข ยอร์คเชียร์ อาจทำแค่ 1 ครั้ง/เดือน ก็เพียงพอ การอาบน้ำควรทำในสถานที่ที่อากาศอบอุ่น ก่อนอื่นต้องใช้สำลีอุดหูทั้งสองข้างเพื่อกันน้ำเข้าหู จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งรองบริเวณอกของเขาเพื่อจับให้เขายืนขึ้น (หากเป็นไปได้ ควรหาผ้ารองกันลื่นมาวางรองพื้นเพื่อไม่ให้ขาของเขาลื่นไถลไปมาเวลาที่คุณจับเขายืน) เปิดน้ำจากฝักบัวอย่าให้แรงมากนัก ค่อยๆ รดตัวเขาให้เปียกจนทั่ว ชโลมแชมพูให้ทั่วตัวและถูเบาๆ ล้างทำความสะอาดบริเวณศีรษะและใบหน้าเป็นอันดับสุดท้าย 

          ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าให้แชมพูเข้าปากและตาของเจ้า ยอร์คกี้ จากนั้นล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะนำไปเป่าขนให้แห้งด้วยไดร์เป่าที่ใช้ความร้อนพอเหมาะ เสร็จแล้วจึงใช้แปรงหวีขนเบาๆ ซึ่งการแแปรงขนให้ยอร์กไชร์ เทอร์เรียร์ เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ 

          ส่วนเรื่องอาหารการกินของ สุนัข ยอร์คเชียร์ ควรจะเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา ในลูกสุนัขควรเลือกอาหารสูตรลูกสุนัข ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูง แต่สำหรับ ยอร์คกี้ ที่โตแล้ว อาจเลือกอาหารที่มีปริมาณโปรตีนเป็นส่วนประกอบขั้นต่ำ ประมาณร้อยละ 20 ก็เพียงพอ และอาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้งก็ได้ 

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

คลังบทความของบล็อก

ค้นหาบล็อกนี้