ท่านคิดว่าน้องหมาพันธุ์ไหนน่ารักที่สุด

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

10สายพันธุ์สุนัขฉลาดที่สุด

สุนัขถือได้เป็นสัตว์ที่แสนรู้อันดับต้นๆ ในบรรดาสัตว์ประเภทต่างๆ และในวันนี้พี่ปัดมี 10 อันดับสายพันธุ์สุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลกมาฝากจ๊ะ โดยวัดจากการที่สุนัขสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำสั่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร๋ว


อันดับ 1 : Border Collie
ลักษณะนิสัยขี้เล่น ร่าเริง เป็นมิตร
มีความสามารถในการเรียนรู้สูง ประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งเร้าต่างๆ
เช่น เสียง สิ่งเคลื่อนไหว และกลิ่น
อันดับ 2 : Poodle
เสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้อยู่ที่ ฉลาด รู้ภาษา ร่าเริง ช่างประจบ
อันดับ 3 : German Shepherd
ลักษณะนิสัยกระตือรือร้น ตื่นตัว กล้าหาญ
ร่าเริง เชื่อฟัง กระหายที่จะเรียนรู้และฉลาดมาก
มักถูกใช้ต้อนแกะ เฝ้ายาม กิจกรรมต่างๆ ของตำรวจ
นำทางคนตาบอด แกะรอยค้นหา
อันดับ 4 : Golden Retriever
ลักษณะนิสัยเป็นมิตร สุภาพ ใจดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถพิเศษในการจดจำ
ง่ายต่อการฝึกฝน กระฉับกระเฉง
อันดับ 5 : Doberman Pinscher
ลักษณะนิสัยฉลาด กล้าหาญ ตื่นตัว เชื่อฟัง คอยระวังภัยตลอดเวลา
จัดว่าเป็นสุนัขอารักขาที่ดีที่สุดในโลก
อันดับ 6 : Shetland Sheepdog
ลักษณะนิสัยฉลาด มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์
รักเด็ก และมีสัญชาตญาณที่ดีด้วย
อันดับ 7 : Labrador Retriever
ลักษณะนิสัยฉลาด ใจดี เป็นมิตร สุภาพ ไม่ก้าวร้าว
ตอบสนองรวดเร็ว ปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้ง่าย
สามารถฝึกความสามารถพิเศษอื่นๆ ได้มากมาย
เช่น ค้นหาผู้ประสบภัย ค้นหายาเสพติด ฯลฯ
อันดับ 8 : Papillon
ลักษณะนิสับฉลาด แข็งแรง กล้าหาญ รักเจ้าของ ขี้เล่น
กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งรอบข้าง เป็นมิตร
และพร้อมที่จะปกป้องเจ้าของจากผู้บุกรุก
อันดับ 9 : Rottweiler
ลัษณะนิสัยเป็นสายพันธุ์ที่มีสัญชาตญาณที่ต้องเอาตัวรอด
แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงสายพันธุ์ให้เป็นสุนัขที่มีความฉลาด
ชอบการสัมผัสอย่างทะนุถนอม และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
หากได้รับการฝึกฝนที่ดีจะเป็นสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่ง
ใจเย็น เป็นทั้งเพื่อนและยามเฝ้าบ้านที่ดี
อันดับ 10 : Australian Cattle Dog
เป็นสุนัขสายพันธุ์ใหม่ ที่มีต้นกำเนิดมาจากการทดลองผสมข้ามพันธุ์
มีความอดทนเหมือนสุนัขพื้นเมือง มีความสามารถทางปศุสัตว์
ซื่อสัตย์ และฉลาด

ความรู้ก่อนเลี้ยงบีเกิ้ล

บีเกิ้ล
ในระยะนี้เรามักได้เห็นความน่ารักของเจ้าตูบพันธุ์บีเกิ้ลผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ จนทำให้หลายคนตกหลุมรักเจ้าตูบพันธุ์นี้ซะจนอยากได้มาเป็นเลี้ยงสักตัว ก็เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นน้องหมาที่มีใบหน้าน่ารัก หูปรก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน แถมยังเป็นสุนัขที่รักเด็ก  เข้ากับคนง่ายและเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจไปรับสมาชิกใหม่พันธุ์นี้มาเพื่อนสี่ขาคู่ใจ ลองไปทำรู้จักกับเจ้าบีเกิ้ลกันก่อนดีกว่าค่ะ

          บีเกิ้ล (Beagle) เป็นสุนัขมีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ จัดอยู่ในจำพวกกลุ่มสุนัขล่าเนื้อ(Hound) มีขนสั้นและหูปรก เป็นสุนัขที่มีประสาทด้านการดมกลิ่นเป็นเลิศ (scent hounds) ถูกพัฒนาสายพันธ์ขึ้นมาคเพื่อเป็นผู้ช่วยมนุษย์ ในกีฬาการล่าต่างๆ โดยเฉพาะการล่ากระต่าย เนื่องจากบีเกิ้ลมีประสาทด้านการดมกลิ่นที่ไวมาก จึงได้มีการฝึกให้เป็นสุนัขตรวจสอบของผิดกฎหมาย อย่างเช่น ยาเสพติด วัตถุระเบิด ฯลฯ 
  ขณะเดียวกันบีเกิ้ลก็ได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีขนาดตัวที่พอเหมาะ เป็นสุนัขอารมณ์ดี และสุขภาพแข็งแรงออกแนวอึด ทนทานต่อโรค ด้วยคุณสมบัตินี้เอง บีเกิ้ลยังถูกใช้ในงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับสัตว์อีกด้วย ทั้งนี้ สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลมีมากว่า 2,000 ปีแล้ว และมีชื่อเสียงมากในยุคของพระนางอลิซาเบท (Elizabethan era) ซึ่งปรากฏในงานวรรณกรรม จิตรกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องสนู๊ปปี้ (Snoopy) ซึ่งสนู๊ปปี้ถือเป็นบีเกิ้ลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตัวหนึ่งของโลก

          ในปี ค.ศ.1985 ได้มีการทำการศึกษาบีเกิ้ล พร้อมกับสุนัขพันธุ์อื่นๆ อย่าง ยอคเชียร์ เทอเรีย(Yorkshire Terrier) เคนท์ เทอเรีย (Cairn Terrier) เวส ไฮด์แลนด์ ไวท์ เทอเรีย (West Highland White Terrier) ฟอกซ์ เทอเรีย(Fox Terrier) ซึ่งผลออกมาว่า บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนามาด้วยจุดประสงค์เดียว คือให้เป็นนักล่ามาเป็นเวลานาน จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝึกค่อนข้างยาก โดยทั่วไปเมื่อมันรับคำสั่งแล้ว จะสั่งยกเลิกได้ยาก และเมื่อมันจดจำกลิ่นหนึ่งได้ มักจะถูกกลิ่นอื่นรอบตัวเบี่ยงเบนความสนใจได้ง่าย พวกมันจะไม่ค่อยยอมรับคำสั่งทั่วๆ ไป แต่ก็มีการตอบสนองต่ออาหารที่ดี มีความตื่นตัวสูง ช่างประจบ ในทางกลับกันก็เป็นสุนัขที่เบื่อง่าย

บีเกิ้ล
          ปัจจุบันบีเกิ้ล ได้รับการเลือกเป็นหนึ่งในสุนัขดมกลิ่น ที่ใช้ตรวจสอบหาวัตถุต้องสงสัย ในงานด้านความมั่นคง และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ (Beagle Brigade) บีเกิ้ลกับบทบาทด้านความมั่นคงในการตรวจสอบตามสนามบิน ซึ่งในปีหนึ่งๆ สามารถช่วยเจ้าหน้าที่ตรวจพบวัตถุผิดกฎหมาย ได้ถึง 75,000 รายการต่อปี อีกเหตุผลหนึ่งที่บีเกิ้ลได้รับเลือกในหน้าที่นี้ เพราะว่าบีเกิ้ลมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก สามารถเข้าไปตรวจได้แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างกลัวสุนัข ดูแลง่าย ฉลาด และมันทำงานเต็มที่เพื่อรางวัล ซึ่งในหลายประเทศก็ได้มีการ ใช้งานบีเกิ้ลในลักษณะนี้อย่างกว้างขวาง ส่วนสุนัขดมกลิ่นขนาดใหญ่ ก็จะใช้ในงานค้นหาวัตถุระเบิดโดยเฉพาะ และงานที่จำเป็นต้องปีนป่ายเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งบีเกิ้ลไม่ค่อยเหมาะกับหน้าที่ลักษณะนั้น

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไป

          บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า

          นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็กๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดีๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ 

อาหารและการเลี้ยงดู

          แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุที่จุดประสงค์ดั้งเดิมที่เค้าถูกพัฒนาขึ้นมาคือการเป็นสุนัข สำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกเค้ามีพลังงานในตัวมากและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงจึงควรพาไปออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีบริเวณกว้างขวางนัก อย่างเช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ คุณก็จะต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพอมีเวลาและมีสวนสาธารณะใกล้เคียงที่คุณสามารถพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังได้หรือไม่


          อย่างไรก็ดี สุนัขเหล่านี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะพวกมันช่างไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนเอาเสียเลยและมักมีความเข้าใจอย่างผิดๆ ว่ารถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อน


          ด้านการดูแลทำความสะอาดให้สุนัขขนสั้นอย่างบีเกิ้ลนั้นแสนง่าย แค่อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมๆ กับแปรงขนไปด้วย หรือถ้าไม่สกปรกมากอาจใช้แค่ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้ก็ได้ ส่วนเรื่องการแปรงขนให้บีเกิ้ลสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากว่าเค้ามีขนสั้นและสีเข้ม ซึ่งควรแปรงขนทุกๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไปและช่วยเพิ่มความเงางามแข็งแรงแก่เส้นขน


          ส่วนเรื่องอาหารการกิน หากเราต้องการให้เค้ามีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งวิธีการให้อาหารแก่บีเกิ้ลที่ถูกต้องก็มีดังนี้

           บีเกิ้ลอายุระหว่าง 2-3 เดือน ควรให้อาหารเม็ดวันละ 4 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย (ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง) โดยอาจใช้ถ้วยกาแฟขนาดเล็กตวง ผสมกับอาหารกระป๋อง 1 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้ทั่ว 


           บีเกิ้ลอายุระหว่าง 3-4 เดือน ควรให้อาหารเม็ดวันละ 3 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย (ทุกๆ 6-8 ชั่วโมง) ผสมอาหารกระป๋อง 1 ช้อนโต๊ะ


           บีเกิ้ลอายุระหว่าง 4-12 เดือน ควรปรับมาให้อาหารเม็ดวันละ 2 มื้อ มื้อละ 1 ถ้วย หรืออาจจะมากน้อยกว่านั้นเล็กน้อย โดยให้สังเกตดูรูปร่าง ถ้าท้องป่องมากเกินไปควรลดจำนวนอาหารแต่ละมื้อลงบ้าง และต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับระดับการออกกำลังกายของเค้าด้วย หากบีเกิลของคุณมีโอกาสออกกำลังกายน้อย ปริมาณอาหารที่ให้ก็ควรปรับลดลง


           เมื่อบีเกิ้ลอายุครบ 12 เดือนขึ้นไป สามารถลดปริมาณการให้อาหารเหลือวันละ 1 มื้อ มื้อละ 1-1/2 ถ้วย ก็เพียงพอแล้ว 


           นม ไม่จำเป็นต้องให้นมลูกสุนัขอีกหลังจากอายุครบ 2 เดือนขึ้นไป เพราะเมื่ออายุพ้น 2 เดือนแล้วเค้าจะสามารถหาแคลเซียมทดแทนจากการกินอาหารสำเร็จรูปได้


           อาหารเสริม สำหรับบีเกิลป่วยอาจให้อาหารเสริมบ้าง แต่ไม่มีความจำเป็นต้องให้อาหารเสริมในยามที่เค้ามีสุขภาพปกติ


           อาหารคน ไม่ควรให้อาหารของคนกับบีเกิ้ลโดยเด็ดขาด เพราะเค้าอาจติดใจรสชาติ กลิ่นของอาหารคน และไม่อยากกินอาหารเม็ดอีกต่อไป นอกจากนั้นการให้อาหารสดยังอาจทำให้เค้าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับมากเกินไปจนทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อเค้าอายุมากขึ้น เช่น ปัญหาด้านการเจริญเติบโต ปัญหาสุขภาพขน การให้อาหารสดอาจให้บ้างเล็กน้อยเพื่อใช้เป็นรางวัลสำหรับการฝึกเท่านั้น (ซึ่งอาจเป็นจำพวกตับ ไส้กรอก แฮม หรือชีส ก็ได้) 


           ห้ามให้สุนัขกิน ช็อกโกแลตและหัวหอม เป็นอันขาด เพราะอาจทำให้สุนัขเป็นอันตรายถึงตายได้

 เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับบีเกิ้ล 
  
           ความสูงมากที่สุดของบีเกิ้ลที่ได้รับการยอมรับในประเทศสหรัฐอเมริกาคือ 15 นิ้ว ขณะที่ในประเทศอังกฤษคือ 16 นิ้ว 

           สุนัขสายพันธุ์บีเกิ้ลจะไม่มีน้ำลายไหลเยิ้ม ไม่ค่อยมีกลิ่นสาบ และผลัดขนน้อยมาก


           Lyndon B. Johnson ประธานาธิบดีคนที่ 36 แห่งสหรัฐอเมริกา เลี้ยงสุนัขบีเกิลจำนวน 3 ตัว ชื่อว่า Him, Her และ Edgar


           ตัวการ์ตูนสนูปปี้ (Snoopy) จากการ์ตูนชุด Peanuts ของ Charles M. Schulz ก็มีต้นแบบมาจากสุนัขสายพันธุ์บีเกิล 

10. บีเกิ้ล


10. บีเกิ้ล
   ในระยะนี้เรามักได้เห็นความน่ารักของเจ้าตูบพันธุ์บีเกิ้ลผ่านสื่ออยู่บ่อย ๆ จนทำให้หลายคนตกหลุมรักเจ้าตูบพันธุ์นี้ซะจนอยากได้มาเป็นเลี้ยงสักตัว ก็เพราะเจ้าบีเกิ้ลเป็นน้องหมาที่มีใบหน้าน่ารัก หูปรก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน แถมยังเป็นสุนัขที่รักเด็ก เข้ากับคนง่ายและเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ด้วยนะ แถมมันยังติดอันดับหนึ่งในสิบสุนัขที่มีความนิยมมากว่า 30 ปี และเป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่นิยมในอเมริกา ใน U.K.C. ของสหรัฐอเมริกา 

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 

          บีเกิ้ลเป็นสุนัขที่สุภาพ พวกมันค่อนข้างเป็นมิตร ไม่ดุร้ายเกินไปหรือเฉื่อยชาเกินไป ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม แต่มันก็เชื่องคนง่ายเกินจึงไม่เหมาะที่จะเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ทว่ามันยังคงเห่าหรือหอนบ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า

          นอกจากนี้ บีเกิ้ลยังเป็นสุนัขที่เหมาะกับเด็ก ๆ เข้ากับเด็กๆ ในบ้านดี ๆ ไม่พบประวัติการทำร้ายเด็ก บีเกิ้ลจึงเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันในครอบครัว และบีเกิ้ลยังเข้ากับสุนัขสายพันธุ์อื่นได้ง่าย พวกมันแข็งแรงมาก จึงวิ่งเล่นได้นานโดยที่ไม่เหนื่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติพวกมันเป็นสุนัขที่อยู่เป็นฝูง เวลานำไปเลี้ยงเดี่ยวจึงอาจเกิดอาการซึมเศร้าได้ และแม้ว่าบีเกิ้ลจะมีพลังเห่าหอนอันรุนแรง แต่ไม่ใช่บีเกิ้ลทุกตัวที่จะหอน แต่ส่วนมากจะเห่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งบางตัวจะเห่าหรือหอน เมื่อรับรู้ถึงกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งโดยเฉพาะ


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์บีเกิ้ล 

          แม้ว่าสุนัขสายพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยเหตุที่จุดประสงค์ดั้งเดิมที่เค้าถูกพัฒนาขึ้นมาคือการเป็นสุนัข สำหรับล่าสัตว์ ทำให้พวกเค้ามีพลังงานในตัวมากและชื่นชอบการออกกำลังกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงจึงควรพาไปออกกำลังกายบ้างอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น และหากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่มีบริเวณกว้างขวางนัก อย่างเช่น คอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนต์ คุณก็จะต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณพอมีเวลาและมีสวนสาธารณะใกล้เคียงที่คุณสามารถพาเค้าไปเดินเล่นออกกำลังได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี สุนัขเหล่านี้ต้องอยู่ในบริเวณที่มีรั้วรอบขอบชิด เพราะพวกมันช่างไม่มีสัญชาตญาณในการระวังภัยบนท้องถนนเอาเสียเลยและมักมีความเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่ารถทุกคันจะหยุดรอให้พวกมันไปก่อน

          ด้านการดูแลทำความสะอาดให้สุนัขขนสั้นอย่างบีเกิ้ลนั้นแสนง่าย แค่อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ จากนั้นก็เช็ดหรือเป่าตัวให้แห้งพร้อมๆ กับแปรงขนไปด้วย หรือถ้าไม่สกปรกมากอาจใช้แค่ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดตัวให้ก็ได้ ส่วนเรื่องการแปรงขนให้บีเกิ้ลสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากว่าเค้ามีขนสั้นและสีเข้ม ซึ่งควรแปรงขนทุกๆ 3-4 วัน เพื่อกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไปและช่วยเพิ่มความเงางามแข็งแรงแก่เส้นขน

          ส่วนเรื่องอาหารการกิน หากเราต้องการให้เค้ามีสุขภาพแข็งแรง เติบโตสมวัย ก็ต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งวิธีการให้อาหารแก่บีเกิ้ลที่ถูกต้องก็จะเป็นไปตามช่วงวัยนั่นเอง

ความรู้เรื่องสุนัขปักกิ่ง


 ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" 

          โดยใน ปักกิ่ง เป็นสุนัขชั้นสูงในราชสำนักจีน ทำให้ทุกวันนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ยังคงมีบุคลิกแบบสวย เริ่ด เชิด และหยิ่งในศักดิ์ศรี พร้อมด้วยอาการดื้อดึงแต่พองาม มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ประกอบกับมีท่าทีการเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม อารมณ์ดีแต่สงบเงียบ ไม่เอะอะหรือร่าเริงเกินเหตุ แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งจนน่าเบื่อ ยิ่งหากได้คลุกคลีจนคุ้นเคย ปักกิ่ง ก็จะเป็นเพื่อนสี่ขาที่น่ารักเป็นที่สุด

          สำหรับในประเทศไทย ปักกิ่ง เคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้ จากนิสัยและความสวยงามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งยังมีประวัติน่าสนใจเสียด้วยสิ...
ประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 
ตามประวัติ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่มีข้อมูลระบุแน่ชัดว่า สุนัขพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด หากสืบสาวราวเรื่องไปได้ไกลที่สุด ก็พบหลักฐานว่ามีสุนัขพันธุ์ปักกิ่งอยู่ในราชสำนัก สมัยราชวงศ์ถัง หรือราวศตวรรษที่ 8 โดยมีเรื่องเล่าว่า ในอดีต สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ถือเป็นสุนัขต้องห้าม กล่าวคือ จะเลี้ยงได้เฉพาะในราชสำนักเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้จะได้รับการปกป้องคุ้มครองสายพันธุ์ให้บริสุทธิ์อย่างเข้มงวด นั่นหมายถึงจะไม่มีการให้ผสมข้ามสายพันธุ์เด็ดขาด ถ้าใครคิดหาญขโมย มีโทษถึงตาย!!

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ที่เป็นสุนัขประจำตัวของกษัตริย์ จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพ หากกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าปักกิ่งเป็นสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ จะต้องตามไปปกป้องกษัตริย์หลังความตาย สุนัขพันธุ์นี้ จึงถูกจดจำในฐานะสุนัขที่มีความภักดีต่อผู้เป็นนาย และถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีน รวมถึงถูกนำไปสร้างรูปจำลองแกะสลักวางไว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ด้วย

          ทั้งนี้ ใน ค.ศ.1860 อังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และเข้ายึดวังจักรพรรดิที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ราชสำนักจีนก็ยังไม่วายมีสติพอที่จะสั่ง "ฆ่า" สุนัขพันธุ์ปักกิ่งทุกตัวที่มีอยู่ในวัง เพราะไม่อยากให้สุนัขสายพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของฝรั่ง ทว่ามี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 5 ตัว เหลือซ่อนอยู่ ว่ากันว่า เป็นสุนัขสุดโปรดของซูสีไทเฮา และเป็นสุนัขห้าตัวที่สวยที่สุด ดีที่สุดในแผ่นดินจีนสมัยนั้น และพวกมันถูกนำไปยังดินแดนของอังกฤษ ก่อนจะถูกถวายแด่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย

          3 ปี นับจากถูกนำตัวไปอังกฤษ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็เริ่มปรากฎโฉมต่อสาธารณชน ซึ่งผู้คนต่างพากันสนใจทั้งในความสวยงามและประวัติอันน่าตื่นเต้นของสุนัขพันธุ์นี้ จากนั้นความนิยมในการเลี้ยง ปักกิ่ง ก็กระจายไปทั่วโลก โดยในสหรัฐอเมริกา มีการจดทะเบียนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งไว้ใน American Kennel Club เมื่อปี ค.ศ.1906 ก่อนจะมีการจัดตั้ง Pakingese Club of America และลงทะเบียนเป็นสมาชิกใน American Kennel Club ในปี 1909 แสดงให้เห็นว่าคนอเมริกันให้ความนิยมชมชอบเจ้าสุนัขพันธุ์ปักกิ่งนี้อย่างมาก

 ลักษณะทั่วไป สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 

          ปักกิ่ง จะมีรูปร่างสมส่วน กะทัดรัด ท่วงท่าการเดินสง่างามอย่างยิ่ง ไม่ลุกลี้ลุกลน ลำตัวส่วนหน้าดูใหญ่ หนา ลำตัวส่วนหลังเล็กแคบกว่า มีลักษณะขนช่วงแผงคอยาวแผ่คล้ายสิงโต ซึ่งแม้จะดูตัวเล็ก แต่หากอุ้มจะรู้สึกหนักมากกว่าที่คิด เพราะโครงร่างของปักกิ่ง มีกล้ามเนื้อหนาและแข็งแรง กระดูกหนา โดยปกติจะมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 10-14 ปอนด์ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ช่วงชีวิตเฉลี่ยประมาณ 14-17 ปี   

          ทั้งนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ได้รับสมญานามที่บ่งบอกลักษณะอันดี ดังนี้

          1. Lion Dogs หรือ หมาสิงโต เพราะมีลำตัวช่วงหน้าที่หนา ใหญ่ แล้วค่อย ๆ เล็กแคบลงไปในช่วงหลัง

          2. Sun Dogs เพราะมีขนสีแดงประกายทอง สวยจับตาจับใจ

          3. Sleeve Dogs (หมาแขนเสื้อ) เพราะขนาดตัวที่เล็ก จนสามารถใส่ไว้ในแขนเสื้อคนจีนสมัยก่อนได้ แต่ปกติมักใช้เรียกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

 ลักษณะนิสัย สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง 
   ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่ ปักกิ่ง ก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย 

          นอกจากนี้ ปักกิ่ง ยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์ ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธ์อื่น ๆ เลยสักนิด 

          อย่างไรก็ดี ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์

 การเลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น ปักกิ่ง จึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย  

 มาตรฐานสายพันธุ์ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          กะโหลก หนาแบนและกว้าง

          จมูก สีดำ กว้าง สั้น อยู่ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างตาพอดี

          ตา ตากลมใหญ่ แต่ไม่โปน นัยน์ตาสีดำเข้มเป็นประกาย ขอบตาสีดำ ถ้าสุนัขมองตรง ๆ (ไม่เหลือกตา) จะต้องไม่เห็นตาขาว

          ใบหน้า โหนกแก้มสูงและกว้าง ขากรรไกรล่างและคางก็กว้างเช่นกัน

          ปาก เป็นสีดำ ขากรรไกรล่างกว้างและยื่นออกเล็กน้อย ทำให้ฟันล่างเกยฟันบน แต่ริมฝีปากปิดชิดกันสนิท

          ขน ยาว หนา และตรง ไม่หยิกเป็นคลื่น แบ่งเป็น 2 ชั้น ขนชั้นในจะแน่นและนุ่นกว่าขนชั้นนอก ขนที่แผงคอและช่วงไหล่จะยาวกว่าที่ส่วนอื่น ๆ 

          ขา ขาสั้น กระดูกใหญ่ เท้าแบน

          ลำตัว กะทัดรัด ส่วนหน้ากว้างกว่าส่วนหลัง เพราะซี่โครงกางออกมากกว่าอกกว้าง ลำตัวค่อย ๆ เรียวเล็กลงไปสู่ด้านหลัง มองเห็นเอวได้ชัดเจน แนวหลังตรง ไม่แอ่นเว้าหรือโค้งนูน มีลักษณะบึกบึนแข็งแรง

          หาง โคนหางตั้งสูง ขนหนา ยาวและตรงลงมาที่ลำตัวทั้งสองข้าง

9. ปักกิ่ง


9. ปักกิ่ง

          ปักกิ่ง เป็นสุนัขขนาดเล็กที่น่าสนใจสายพันธุ์หนึ่ง พวกมันมีบุคลิกลักษณะผสมกันระหว่างความน่ารักประหลาด ๆ มีหน้าตาสั้น ๆ แบน ๆ จมูกทู่ ๆ ตากลมโต และยังขึ้นชื่อในเรื่องความทรนง เคยได้รับฉายา "ราชาแห่งสุนัข" ด้วยแหนะ สำหรับในประเทศไทยเรา สุนัขพันธุ์ปักกิ่งเคยเป็นสุนัขที่ฮอตฮิตอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ลดความนิยมลง เพราะสายพันธุ์แท้ ๆ ในปัจจุบันเริ่มหายาก  การเลี้ยงดูค่อนข้างลำบาก และอากาศในบ้านเรา เป็นศัตรูตัวฉกาจของปักกิ่ง แต่ก็ยังคงผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หลงใหลในเสน่ห์ของสุนัขพันธุ์นี้


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ถึงแม้จะเคยเป็นสุนัขที่ได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ในวัง แต่สุนัขพันธุ์ปักกิ่งก็มีนิสัยกล้าหาญเกินตัว ไม่เกรงกลัวอะไรง่าย ๆ แม้จะเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ พวกมันไม่เคยมีประวัติเรื่องวิ่งหนีหางจุกตูด ทั้งยังเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรง ทรหดอดทน ฉะนั้น จึงทำหน้าที่เฝ้าบ้านได้เป็นอย่างดี และที่เด่นชัดเป็นที่สุด ก็คือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประจบประแจง ไม่เจ้าเล่ห์ และเลี้ยงง่าย ทั้งยังรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของอย่างยิ่งด้วย

          นอกจากนี้ สุนัขพันธุ์ปักกิ่งยังสุภาพ เป็นมิตร รักสนุกและชอบเล่น แม้ว่าในบางอารมณ์สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะดื้อดึงไปบ้าง แต่นั่นก็เพราะความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระ ไม่ชอบให้ใครบังคับ อันเป็นนิสัยที่มีอยู่ในสายเลือด จนบางครั้งอาจดูเหมือนดื้อ เอาแต่ใจ หากแต่ก็ไม่ดื้อจนไม่เชื่อฟัง ถ้าได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดี และได้รับความรักมากพอ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ก็น่ารักไม่ต่างไปจากเพื่อนตูบสายพันธุ์อื่น ๆ เลยสักนิด

          อย่างไรก็ดี สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ไม่ค่อยชอบเด็กและเข้ากับสุนัขตัวอื่นได้ยาก แต่หากเจ้าของเลี้ยงให้โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก ก็ไม่ยากเกินไปนักที่ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จะทำใจยอมรับกับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างสายพันธุ์


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง

          ขนยาว ๆ หนา ๆ ของปักกิ่ง จำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผู้เลี้ยงควรแปรงขนและทำความสะอาดขนให้ปักกิ่งเป็นประจำ และยังต้องหมั่นทำความสะอาดบริเวณตา หู ตัดเล็บนิ้วเท้าให้สั้นอยู่เสมอ นอกจากนั้น ควรจูงสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง เดินออกกำลังกายสม่ำเสมอในระยะทางที่ไม่ไกลนัก

          และด้วยจมูกสั้นแบน แถมยังจมลึกอยู่ระหว่างตาทั้งสองข้าง จึงทำให้ระบบการหายใจของปักกิ่ง เป็นไปอย่างลำบาก น้องหมาพันธุ์นี้จะไม่สามารถทนต่อสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้นได้ดีเท่าใดนัก ฉะนั้น สุนัขพันธุ์ปักกิ่งจึงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงนอกบ้าน หากเปิดแอร์ให้บ้างก็จะดีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม  สถานที่เลี้ยง สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง ต้องเป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกด้วย  

ความรู้สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (ยอร์คกี้)


ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (ยอร์คกี้)
YORK TIME STORIES (Dogazine)
 จาก สุนัข โนเนมแห่งท้องทุ่งและเหมืองถ่านหินอ้างว้างห่างไกลเมือง ยอร์คเชียร์ ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีชีวิตประจำวันเป็นสุนัขใช้งาน รับหน้าที่ในการตามล่าและไล่จับเจ้าหนูตัวร้ายจอมป่วน... มาวันนี้ หากลองพิมพ์ชื่อของเขาลงในอินเทอร์เน็ต คงมีเรื่องราวมากมายปรากฎขึ้นให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว

          หลายคนคงนึกออกแล้วว่า เรากำลังพูดถึงเจ้าสุนัขตัวน้อยขนยาวสายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier) หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "ยอร์คกี้" นั่นเอง

          ทุกวันนี้ ไม่มีใครนิยมเลี้ยง สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย หรือเจ้า ยอร์คกี้ ไว้เพื่อใช้งานในไร่อีกแล้ว ทว่าพวกเขาได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ สุนัข กลุ่มทอยที่เฉลียวฉลาด ขนสวย น่ารัก เหมาะสำหรับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนที่รู้ใจ แต่ในเรื่องของการดูแลสุนัขพันธุ์นี้นั้น อยากจะบอกว่าถึง ยอร์คกี้ จะถูกเรียกว่า สุนัข "ทอย" แต่จะเลี้ยงเขาแบบ "ของเล่น" ไม่ได้หรอกนะ...เอ แล้วการดูแล ยอร์กี้ ยอร์คเชีย เทอร์เรีย ต้องทำอย่างไรบ้างนั้น อยากรู้ตามมาเลยยย..

รู้จักมักจี่ ยอร์คกี้ ตัวน้อย

          สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มทอย ด็อก (Toy Dog) โดย American Kennel Club (AKC)

          ชื่อเสียงเรียงนาม "ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย" มีที่มาจากชื่อเมือง ยอร์คเชียร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพวกเขานั่นเอง

          ชื่อของ ยอร์คเชียร์ นิยมเรียกติดปากสั้นๆ ว่า "ยอร์คกี้"

           สุนัข ยอร์คเชียร์ ถูกเลี้ยงไว้ใช้งานในไร่นาและเหมืองถ่านหิน โดยส่วนใหญ่มีหน้าที่กำจัดหนู จนกระทั่งช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกเขาจึงถูกค้นพบโดยกลุ่มชนชั้นสูง และเริ่มกลายเป็นที่นิยมเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน (Companion Dog)

          แม้ ยอร์คเชียร์ จะได้ผันตัวมาเป็น สุนัข สำหรับเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่น แต่ด้วยสายเลือดของ สุนัข เทอร์เรีย ที่ยังไม่จางหาย ทำให้ ยอร์คเชียร์ เป็นสุนัขตัวเล็กที่เปี่ยมด้วยพลัง ชอบเล่น และอยากรู้ อยากเห็น นอกจากนั้น ยังชอบผจญภัย รักอิสระ และไม่ค่อยรู้จักความกลัว

          ด้วยความเป็น สุนัข ที่มีนิสัยกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใคร ทำให้ ยอร์คเชียร์ มักไม่สนใจว่าตัวเองนั้นตัวเล็กกระจิดริดแค่ไหน เมื่อเจอคนแปลกหน้า ยอร์คเชียร์ จึงพร้อมที่จะเห่าเตือนเจ้าของเสมอ

          สุนัข ยอร์คเชียร์ ในสมัยก่อนมักมีน้ำหนักเฉลี่ยถึง 6  กิโลกรัม ขณะที่ปัจจุบันน้ำหนักเฉลี่ยของพวกเขาจะอยู่ที่ 1-5.4 กิโลกรัมเท่านั้น

          สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เหมาะกับคนทุกช่วงอายุ และเป็น สัตว์เลี้ยง ที่ดีสำหรับคนโสดหรือผู้ไม่มีบุตร หากบ้านใดมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัว ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีปฏิบัติตัวและวิธีเล่นกับ ยอร์คเชียร์ เพราะหากเด็กเล่นกับเขาแรงๆ ก็อาจทำให้เขาบาดเจ็บได้ง่าย เพราะเขาตัวเล็กและบอบบาง บางทีอาจอันตรายถึงชีวิต หรือหาก ยอร์คเชียร์ ถูกเด็กแกล้งเป็นประจำ ก็จะทำให้นิสัยของเขาเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นกัดคน หากพ่อแม่รู้จักสอนลูกๆ ให้ปฏิบัติตัวต่อยอร์คเชียร์ อย่างดีแล้ว เขาก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่ดีได้เช่นกัน

การดูแล สุนัข ยอร์คเชียร์ 

          การอาบน้ำให้ สุนัข ยอร์คเชียร์ อาจทำแค่ 1 ครั้ง/เดือน ก็เพียงพอ การอาบน้ำควรทำในสถานที่ที่อากาศอบอุ่น ก่อนอื่นต้องใช้สำลีอุดหูทั้งสองข้างเพื่อกันน้ำเข้าหู จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งรองบริเวณอกของเขาเพื่อจับให้เขายืนขึ้น (หากเป็นไปได้ ควรหาผ้ารองกันลื่นมาวางรองพื้นเพื่อไม่ให้ขาของเขาลื่นไถลไปมาเวลาที่คุณจับเขายืน) เปิดน้ำจากฝักบัวอย่าให้แรงมากนัก ค่อยๆ รดตัวเขาให้เปียกจนทั่ว ชโลมแชมพูให้ทั่วตัวและถูเบาๆ ล้างทำความสะอาดบริเวณศีรษะและใบหน้าเป็นอันดับสุดท้าย 

          ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าให้แชมพูเข้าปากและตาของเจ้า ยอร์คกี้ จากนั้นล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะนำไปเป่าขนให้แห้งด้วยไดร์เป่าที่ใช้ความร้อนพอเหมาะ เสร็จแล้วจึงใช้แปรงหวีขนเบาๆ ซึ่งการแแปรงขนให้ยอร์กไชร์ เทอร์เรียร์ เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันสำหรับสุนัขพันธุ์นี้ 

          ส่วนเรื่องอาหารการกินของ สุนัข ยอร์คเชียร์ ควรจะเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา ในลูกสุนัขควรเลือกอาหารสูตรลูกสุนัข ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูง แต่สำหรับ ยอร์คกี้ ที่โตแล้ว อาจเลือกอาหารที่มีปริมาณโปรตีนเป็นส่วนประกอบขั้นต่ำ ประมาณร้อยละ 20 ก็เพียงพอ และอาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้งก็ได้ 

ความรู้เรื่องแจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย

ใครที่ชื่นชอบเจ้าตูบพันธุ์เล็กล่ะก็ ตามมาทางนี้เลย เพราะวันนี้เรามีเจ้าตูบตัวจ้อย ฉลาด น่ารัก แต่แอบซนสุดๆ มาแนะนำกัน นั่นคือ สุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier)นั่นเอง

          แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถูกเพาะพันธุ์ขึ้นมาเมื่อราวปี ค.ศ. 1814 โดยศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ ผู้ชื่นชอบการไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก เขาต้องการสุนัขสายพันธุ์เทอร์เรียร์ขนาดเล็ก ที่จะใช้ไล่ล่าสุนัขจิ้งจอก จนกระทั่งได้สุนัขเทอร์เรียเพศเมียมาตัวหนึ่งชื่อ "ทรัมพ์" จากคนส่งนม ศาสนจารย์ แจ๊ค รัสเซลล์ จึงใช้ทรัพพ์เป็นพื้นฐานจนเพาะพันธุ์ได้เป็น แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ขึ้นมาในที่สุด
          ทั้งนี้ ในยุคแรกๆ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีความสูงเฉลี่ย 35 เซนติเมตร แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้มีการพัฒนาสายพันธุ์จนได้ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ที่มีขนาดเล็กลง และมี 2 สายพันธุ์ คือ พาร์สัน แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย และ แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย
ลักษณะทั่วไป สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย 
สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย มีลักษณะขน 3 ประเภทคือ ขนเรียบ ขนแตก และขนหยาบ ลักษณะที่ดีของ สุนัข แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย คือควรจะมีกะโหลกโต หูต้องเป็นรูปตัว V และตกไปทางด้านหน้า จมูกและริมฝีปากต้องมีสีดำ ตาควรเป็นสีน้ำตาลเข้มรูปถั่วอัลมอนด์ แฝงด้วยแววตาขี้เล่นและขี้สงสัย ขาต้องตรงและมีกล้ามเนื้อที่ต้นขา หางต้องสั้นและชี้ขึ้น
          อย่างไรก็ตาม ขนของสุนัข แจ็ครัสเซล ควรจะมีสีขาวตั้งแต่ 51% หรือมากกว่าขึ้นไปในร่างกาย และมีมาร์คกิ้งเป็นสีน้ำตาลหรือดำ หรือทั้งน้ำตาลและดำ หรือเรียกว่า "TRI COLOURED MARKING" ซึ่ง สุนัข แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย ส่วนใหญ่จะพบที่บนใบหน้า รอบตา หู ที่ก้นถึงหางและเล็กน้อยบนลำตัว
ลักษณะนิสัย แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย
         สุนัข พันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็กๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซล จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็กๆ พวกเขาจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ
          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ครัสเซล ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี
เรื่องควรรู้ก่อนคิดเลี้ยง สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย
          1.  แจ๊ครัสเซล เป็นสุนัขตื่นตัวตลอดเวลา มันควรได้รับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรอยู่ในความควบคุมดูแลและควรได้รับการฝึกสอนจากเจ้าของ หรือฝึก
          2.  แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลและเวลาจากเจ้าของอย่างมาก เนื่องจากเป็นสุนัขที่ชอบเข้าสังคมและขี้เล่น
          3.  ผู้เลี้ยง สุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซล เทอร์เรีย ควรจัดระบบการเลี้ยงให้ถูกต้อง เช่นต้องมีรั้วรอบขอบชิด เพราะ สามารถกระโดดได้สูงมาก รวมถึงปีนป่าย แม้กระทั่งขุดรูเพื่อหนีเที่ยวถ้ามันรู้สึกเบื่อหรืออยากหาอะไรสนุกตื่นเต้น ทำ
          4.  เพื่อความปลอดภัยของ สุนัข ผู้เลี้ยง แจ๊ครัสเซลล์ ควรจะใช้สายจูงตลอดเวลาที่พาไปเดินเล่น เนื่องจาก แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย เป็นสุนัขที่มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูงมาก

8. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย


8. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย
หากพูดถึงสุนัขโนเนมแห่งท้องทุ่งและเหมืองถ่านหินอ้างว้างห่างไกลเมืองยอร์คเชียร์ ทางตอนเหนือของประเทศอังกฤษ มีชีวิตประจำวันเป็นสุนัขใช้งาน รับหน้าที่ในการตามล่าและไล่จับเจ้าหนูตัวร้ายจอมป่วน... แต่มาวันนี้ หากลองพิมพ์ชื่อของเจ้าตูบแสนซนนี้ลงในอินเทอร์เน็ต คงมีเรื่องราวมากมายปรากฎขึ้นให้อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว หลายคนคงนึกออกแล้วใช่ไหมล่ะว่า เรากำลังพูดถึงเจ้าสุนัขตัวน้อยขนยาวสายพันธุ์ ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier) หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ยอร์คกี้" นั่นเอง


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย

          ยอร์คเชียร์ เป็นสุนัขตัวเล็กที่เปี่ยมด้วยพลัง ชอบเล่น และอยากรู้ อยากเห็น นอกจากนั้น ยังชอบผจญภัย รักอิสระ และไม่ค่อยรู้จักความกลัว ด้วยความเป็นสุนัขที่มีนิสัยกล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใคร ทำให้ยอร์คเชียร์มักไม่สนใจว่าตัวเองนั้นตัวเล็กกระจิดริดแค่ไหน เมื่อเจอคนแปลกหน้า ยอร์คเชียร์จึงพร้อมที่จะเห่าเตือนเจ้าของเสมอ

          สุนัข ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เหมาะกับคนทุกช่วงอายุ และเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีสำหรับคนโสดหรือผู้ไม่มีบุตร หากบ้านใดมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัว ควรสอนเด็กให้รู้จักวิธีปฏิบัติตัวและวิธีเล่นกับ ยอร์คเชียร์ เพราะหากเด็กเล่นกับมันแรง ๆ ก็อาจทำให้มันบาดเจ็บได้ง่าย เพราะมันตัวเล็กและบอบบาง บางทีอาจอันตรายถึงชีวิต หรือหาก ยอร์คเชียร์ ถูกเด็กแกล้งเป็นประจำ ก็จะทำให้นิสัยของมันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว โมโหง่าย หรืออาจถึงขั้นกัดคน หากพ่อแม่รู้จักสอนลูก ๆ ให้ปฏิบัติตัวต่อยอร์คเชียร์อย่างดีแล้ว มันก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงของครอบครัวที่ดีได้เช่นกัน


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย 

          การอาบน้ำให้สุนัขยอร์คเชียร์ อาจทำแค่ 1 ครั้งต่อเดือน ก็เพียงพอ การอาบน้ำควรทำในสถานที่ที่อากาศอบอุ่น ก่อนอื่นต้องใช้สำลีอุดหูทั้งสองข้างเพื่อกันน้ำเข้าหู จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งรองบริเวณอกของเขาเพื่อจับให้มันยืนขึ้น (หากเป็นไปได้ ควรหาผ้ารองกันลื่นมาวางรองพื้นเพื่อไม่ให้ขาของมันลื่นไถลไปมาเวลาที่คุณจับมันยืน) เปิดน้ำจากฝักบัวอย่าให้แรงมากนัก ค่อย ๆ รดตัวมันให้เปียกจนทั่ว ชโลมแชมพูให้ทั่วตัวและถูเบา ๆ ล้างทำความสะอาดบริเวณศีรษะและใบหน้าเป็นอันดับสุดท้าย

          ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าให้แชมพูเข้าปากและตาของเจ้ายอร์คกี้ จากนั้นล้างแชมพูออกด้วยน้ำสะอาด แล้วเช็ดด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะนำไปเป่าขนให้แห้งด้วยไดร์เป่าที่ใช้ความร้อนพอเหมาะ เสร็จแล้วจึงใช้แปรงหวีขนเบา ๆ ซึ่งการแแปรงขนให้ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวันสำหรับสุนัขพันธุ์นี้

          ส่วนเรื่องอาหารการกินของสุนัขยอร์คเชียร์ ควรจะเป็นอาหารเม็ดจะดีที่สุด เพราะมีความสะดวกในการเก็บรักษา ในลูกสุนัขควรเลือกอาหารสูตรลูกสุนัข ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูง แต่สำหรับยอร์คกี้ ที่โตแล้ว อาจเลือกอาหารที่มีปริมาณโปรตีนเป็นส่วนประกอบขั้นต่ำ ประมาณร้อยละ 20 ก็เพียงพอ และอาจผสมอาหารเปียกลงไปในอาหารเม็ดเพื่อเพิ่มความน่ากินเป็นบางครั้งก็ได้ 

นี้แหละเฟรนบลูด็อก

นี่แหละใช่เลย...สไตล์ของ เฟรนช์ บูลด็อก

           
1. รูปร่างกลม ๆ ป้อม ๆ บวกกับขาสั้น ๆ ทำให้เวลาเดิน สะโพกของ เฟรนช บูลด็อก จะส่ายไปมา เมื่อรวมเข้ากับจมูกสั้น ย่น ปากกว้างที่ดูเหมือนยิ้มตลอดเวลา และใบหูอันใหญ่โตที่คล้ายกับหูค้างคาว ทำให้ใคร ๆ ที่ได้พบ เฟรนช์ บูลด็อก อดที่จะอมยิ้มไม่ได้
          2. เฟรนช์ บูลด็อก มีนิสัยร่างเริง และเป็นมิตร เขาอาจจะเห่าเพื่อเตือนให้เราทราบว่ามีคนแปลกหน้ามาป้วยเปี้ยนอยู่แถวนี้นะจ๊ะ แต่นอกจากนั้นเขาจะไม่เห่าพร่ำเพรื่อ
          3. เพราะจมูกของ เฟรนช์ บูลด็อก ทั้งย่นทั้งสั้น เวลาที่เขาหายใจจึงมีเสียงดังตลอดเวลา นอกจากนั้นปากที่กว้างมากยังทำให้เขาซดน้ำเสียงดังและมักทำน้ำหกเลอะเทอะไปทั่วบ้าน
          4. หากคุณกิ้นข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของเขาหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้างด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วเขาก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน เขาก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา(อิอิ)
          5. เฟรนช์ บูลด็อก ไม่ทนต่อความร้อน ดังนั้นจึงต้องให้เขาอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิพอดี ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก

          มาถึงตรงนี้ อาจเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ทั้งหมดนี้เป็นลักษณะเฉพาะสายพันธุ์ที่คุณต้องเตรียมใจไว้ถ้าคิดจะเลี้ยงเจ้า เฟรนช์ บูลด็อก
          อย่างไรก็ตาม เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว เข้ากับทุกคนในบ้านได้ และเข้ากับสัตว์ได้ทุกประเภท ปกติแล้วจะแทบไม่ได้ยินเสียงเห่าของเขาเลย ยกเว้นแต่เกิดสิ่งปกติอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่สุนัขสำหรับเฝ้าบ้าน เหมาะสำหรับการเลี้ยงเป็นเพื่อนมากกว่า นอกจากนี้ จากประสบการณ์ผู้เลี้ยง สุนัข เฟรนช์ บูลด็อก มักพูดตรงกันว่าเจ้าตูบพันธุ์นี้มีความตลก และชอบทำอะไรแปลก ๆ น่ารัก ๆ ไม่นิ่ง หรือไม่ไฮเปอร์เกินไป ที่สำคัญคือเงียบ ไม่เห่า

          สำหรับราคาของลูกสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก ในตลาดล่างมีตั้งแต่หลักพันจนถังประมาณหมื่นสองหมี่น ส่วนในตลาดบนซึ่งเป็นเกรดประกวดสายพันธุ์ต่างประเทศ ลูกหลานอเมริกันแชมเปี้ยน ราคาก็จะเริ่มตั้งแต่สองหมื่นขึ้นไปจนถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับเพดดิกรี พ่อแม่พันธุ์ และลักษณะของลูกสุนัขแต่ละตัว

7. แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

 เจ้าตูบตัวจ้อย ฉลาด น่ารัก แต่แอบซนสุด ๆ อย่างสุนัข พันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย (Jack Russell Terrier) กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะมันเหมาะสำหรับเลี้ยงในบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะแจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ หรือ เจ้าของ ดังนั้น จึงเหมาะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา และด้วยบุคลิกอันกระฉับกระเฉงของมันจะทำให้คุณเพลินกับมันไปได้อย่างง่ายดาย


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          สุนัขพันธุ์นี้สามารถมีชีวิตได้นานถึง 14 ปี แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นนักล่าตัวเล็ก ๆ ที่ยอดเยี่ยม พวกมันเป็นสุนัขที่ฉลาด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการที่เขาเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสนามแข่งขัน โดยในอดีต แจ๊ค รัสเซลล์ จะไล่ล่าไปตั้งแต่สุนัขจิ้งจอกจนถึงหนูตัวเล็ก ๆ พวกมันจะใช้เวลาในการสำรวจพื้นที่ก่อนจะทำการไล่ล่า เพื่อความแม่นยำ

          นอกจากนี้ สุนัข แจ๊ค รัสเซลล์ ยังเข้ากันได้ดีกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ เหมาะเป็นทั้งสุนัขที่เลี้ยงในบ้าน และก็สามารถพาออกไปนอกบ้านได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ด้วยธรรมชาติความอยากรู้อยากเห็นจนถึงขั้นซนของ แจ็ค รัสเซลล์ ทำให้ผู้เลี้ยงจำเป็นที่จะต้องให้เขาอยู่ในสถานที่ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดเป็นอย่างดี


 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์แจ๊ค รัสเซลล์ เทอร์เรีย

          ผู้เลี้ยงจำนวนมากมักมีความคิดว่า หากน้องหมาทานแต่อาหารเม็ด น้องหมาจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ถูกปาก และไม่อยากทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารที่เหมาะสมกับน้องหมาที่สุดก็คือ อาหารเม็ดสำเร็จรูปเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากอาหารเม็ดสำเร็จรูปจะมีการคำนวณปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ที่น้องหมาควรได้รับต่อมื้อมาอย่างพอดี โดยผู้เลี้ยงควรให้น้องหมาทานอาหารตามสูตรและให้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ระบุไว้ข้างถุง หรือข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้น้องหมาของเราได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่มากหรือน้อยจนอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำบ่อย และการอาบน้ำเพียงเดือนละครั้งก็เพียงพอต่อความต้องการของน้องหมาแล้ว เนื่องจากพวกมันไม่มีต่อมเหงื่อเหมือนกับคนเรา การอาบน้ำบ่อย ๆ อาจทำให้ผิวหนังของน้องหมาแห้ง แต่อาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำได้ตามสมควร หากว่ามันออกไปเล่นจนสกปรกมากเกินไป

          แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นสุนัขที่มีลักษณะนิสัยกระฉับกระเฉง และตื่นตัวเป็นอย่างมาก จึงทำให้น้องหมามีความต้องการและชอบการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ แต่การพาน้องหมาไปออกกำลังกายนอกบ้าน หรือบริเวณพื้นที่สาธารณะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะนิสัยของสุนัขสายพันธุ์ แจ็ค รัสเซลล์ เทอร์เรียร์ เป็นพิเศษ เพราะพวกมันมีแนวโน้มที่จะวิ่งไล่กวดสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่พบเห็นได้โดยง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรใส่สายจูงให้มันทุกครั้งเมื่อพามันออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกาย 

6. เฟรนช์ บูลด็อก


6. เฟรนช์ บูลด็อก 

        เป็นเรื่องขำขำที่ว่า ท่าไม้ตายของเจ้าหมาที่ชื่อ เฟรนช์ บูลด็อก นั้นเป็นหน้านิ่ง ๆ ที่ดูแล้วไม่รู้ว่าอารมณ์ไหน เพื่อที่จะหลอกล่อให้เราเข้าใกล้ เพราะหากเผลอสัมผัส ลูบไล้เจ้า เฟรนช์ บูลด็อก เมื่อใด รับรองได้ว่าคุณจะรู้สึกเหมือนโดนน็อกด้วยตาโต ๆ หน้าย่น ๆ หูกางคล้ายค้างคาวที่มองไปมองมากลับดูมีเสน่ห์ และสุดท้ายก็ตกเป็นทาสรักของเฟรนช์ บูลด็อกอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธฺุ์เฟรนช์ บูลด็อก
          ฉลาด กล้าหาญ ร่าเริง ชอบเล่น ชอบออกกำลังกาย และตื่นตัวอยู่เสมอ เป็นมิตร เข้ากับคนและสัตว์อื่น ๆ ได้ดี เฟรนช์ บูลด็อก เป็นสุนัขที่เห่าน้อย ไม่ทนต่ออากาศร้อน โดยเฉพาะตัวที่นำเข้าจากต่างประเทศ อาจจะยังปรับตัวไม่ได้ แต่สำหรับสุนัข เฟรนช์ บูลด็อก ที่เกิดในเมืองไทยจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสภาวะอากาศเท่าไรนัก 
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์เฟรนช์ บูลด็อก 
          ด้วยความที่เป็นสุนัขขนสั้น เฟรนช์ บูลด็อก จึงไม่ต้องการการดูแลมาก แต่เจ้าตูบจะผลัดขนในช่วงหน้าร้อน การออกกำลังกายทำได้ง่าย โดยพามันเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน หรือโยนลูกบอลเล่นกับมัน นอกจากนี้ มันไม่ชอบการถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ผู้เลี้ยงต้องให้ความสำคัญ กับเรื่องระบบการหายใจของสุนัขด้วย  หายใจทางปากถี่ขึ้นจนผิดปกติ ควรรีบนำมันเข้าที่ร่มหรือห้องแอร์โดยเร็ว และหากมั่นใจว่ามันอาจจะเป็นฮีทสโตรก (ชักเนื่องจากความร้อน) ควรลดอุณหภูมิร่างกายของมันให้เร็วที่สุด เช่น เอาน้ำราด เอาน้ำแข็งไปโปะ แล้วพาไปหาหมอให้ฉีดยากันชักโดยเร็ว
          ส่วนเรื่องการกินข้าวของเจ้าหมาพันธุ์นี้ หากเจ้าของกินข้าวเวลาเดียวกันกับ เฟรนช์ บูลด็อก เห็นทีจะต้องทำใจในเรื่องมารยาทในการกินอาหารของมันหน่อยนะ เพราะ เฟรนช์ บูลด็อก จะกินข้าวด้วยเสียงจุ๊บจั๊บให้ได้ยินกันถ้วนหน้า เมื่ออิ่มแล้วมันก็จะมานอนบนตักของคุณและเริ่มผายลมออกมาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งท้องไส้เริ่มหายปั่นป่วน มันก็จะนอนหงายท้องอย่างสบายใจ แล้วเริ่มกระบวนการกรนเสียงดังเพื่อให้คุณคลายเหงา (อิอิ)

สุนัขชิวาวาทีคัพ (Teacup Chihuahua)

สุนัขชิวาวาทีคัพ (Teacup Chihuahua)
 สุนัขชิวาวาทีคัพควรจะมีขนาดตัวเท่าไหร่และแตกต่างจากสุนัขชิวาวาทั่วไปอย่างไร

          สุนัขชิวาวาที่จัดว่าเป็นทีคัพนั้น โดยมากจะมีน้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่ไม่เกิน 3 ปอน หรือ 1.35 กิโลกรัม ซึ่งลักษณะภายนอก นิสัย และโรคประจำพันธุ์ของสุนัขชิวาวาทีคัพไม่มีความแตกต่างกับสุนัขชิวาวาทั่วไป จะต่างก็แค่ขนาดตัว
 ต้องดูแลชิวาวาทีคัพเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่
           อาหาร ควรให้อาหารสุนัขชิวาวาทีคัพทีละน้อย แต่หลายครั้งต่อวัน โดยเฉพาะในลูกสุนัขที่ยังเล็กมาก เนื่องจากสุนัขชิวาวาทีคัพมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย แต่ก็ไม่ควรให้ปริมาณโดยรวมวันสูงเกินกว่าที่กำหนด เพราะอาจเกิดภาวะโรคอ้วนแทน
           อุณหภูมิ ควรเลี้ยงชิวาวาทีคัพอยู่ในอากาศที่อบอุ่นเสมอ เนื่องจากสุนัขขนาดเล็กโดยเฉพาะลูกสุนัขมีโอกาสสูญเสียความร้อนได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะอุณหภูมิต่ำ และอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ดังนั้น เมื่อสุนัขชิวาวาทีคัพต้องอยู่ในอากาศหนาวเย็น ควรหาเสื้อใส่ให้สุนัข หรือหาผ้าห่มให้สุนัขด้วย
 โรคที่มักพบในสุนัขชิวาวาทีคัพ
          โรคที่มักพบในสุนัขชิวาวาทีคัพก็จะคล้าย ๆ กับในสุนัขชิวาวาขนาดปกติ เช่น น้ำในโพรงสมอง (Hydrocephalus) โรคหัวใจ โรคตา ลมชัก ปัญหาระบบทางเดินหายใจ น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
 สุนัขชิวาวากับฤดูร้อน
          สุนัขชิวาวาเป็นสุนัขที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศในเขตอากาศร้อน จึงมักทนทานต่อากาศร้อนได้ดี จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการดูแลในช่วงฤดูร้อนมากนัก อย่างไรก็ดี ไม่ควรปล่อยให้สุนัขอยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด หรือทิ้งไว้ในรถตามลำพังโดยไม่เปิดหน้าต่างนานเกินไป เพราะสนุัขไม่มีต่อมเหงื่อที่บริเวณผิวหนัง (ยกเว้นตามฝ่าเท้าและจมูก) ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะอุณหภูมิร่างกายสูงผิดปกติ (Heat Stoke) ซึ่งอาจทำให้สุนัขช็อกและเสียชีวิตได้ เมื่อพาสุนัขไปเดินเล่นในช่วงหน้าร้อน ถ้าสุนัขมีอาการหอบ ควรหยุดพักและหาน้ำสะอาดให้สุนัขกินเพื่อช่วยคลายร้อน

5.ชิว่าวา


5. ชิวาวา


        จะเห็นได้ว่าเซเลบฯในฮอลลี้วู้ดหลายคนชอบหิ้วเจ้ามะหมาตัวเล็กกระจิ๊ดริดไว้ในกระเป๋าข้างกาย เจ้ามะหมาที่ว่านั่นจะเป็นพันธุ์ใดไม่ได้เลย หากไม่ใช่พันธุ์ชิวาวา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก และในปัจจุบันสุนัขพันธุ์ชิวาวากำลังเป็นที่นิยมกันมากของเหล่าผู้ที่รักสุนัข เพราะด้วยขนาดตัวของมันและอุปนิสัยที่ขี้เล่น น่ารัก ผู้คนส่วนใหญ่จึงนิยมนำเจ้าชิวาวามาเลี้ยงนั่นเอง


 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ชิวาวา

        หลาย ๆ คนลงความเห็นว่า สุนัข ชิวาวา มีนิสัยที่ค่อนข้างติดเจ้าของและไม่ทำลายข้าว ขี้ประจบมาก อ้อน บางครั้งก็เป็น สุนัข ที่หยิ่งในตัว ถ้าไม่ใช่เจ้าของจะไม่ให้จับต้อง ปากเปราะเห่าเสียงดังเหมือน สุนัข พันธุ์เล็กตัวอื่น ๆ ทำให้ สุนัข ชิวาวา เหมาะที่จะเลี้ยงไว้สำหรับเป็นเพื่อนมากกว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่จากการสำรวจของเดลิเมล์ พบว่า ชิวาวา สามารถสร้างความเสียหายให้เจ้าของได้เฉียด 40,000 บาท ตลอดช่วงอายุขัยของมัน เรียกได้ว่า เป็นรองแค่สุนัขพันธุ์เกรทเดนที่สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยของเจ้าของเฉลี่ย 41,540 บาท โดยอาจอ้างได้ว่าเป็นเพราะขนาดตัวของสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ชิวาวา

          สุนัขพันธุ์ชิวาวาเพศผู้อายุ 1 ปี จะเริ่มเป็นสัดซึ่งเร็วกว่าเพศเมีย เริ่มเหล่หนุ่มตอนช่วงอายุ 18 เดือน หลังจากผสมพันธุ์แล้วตกลูกเต็มที่ 1-3 ตัว น้ำหนักตั้งท้องจะมีขนาด 2 กิโลกว่า ลูกสุนัข มีน้ำหนัก 1 ขีด ไม่เกิน 2 ขีด มีขนาดเล็กมาก แรกเพิ่งคลอดต้องคอยดูแลให้ สุนัข กินนมแม่ ซึ่งช่วงนี้ควรระวังเรื่องโรคต่าง ๆ

          พออายุราวเดือนครึ่ง ควรเริ่มฝึกให้ สุนัข ชิวาวา กินอาหารเม็ดด้วยการแช่น้ำให้นิ่ม หรือผสมนมแพะเล็กน้อย หรือให้ อาหารเหลวสำหรับ ลูกสุนัข เป็นการฝึกให้สุนัขเลียหรือกินอาหารได้เอง

เรื่องปั๊ก


หมาปั๊ก Puggy ตูบหน้าบี้...จอมทะเล้น (Dogazine)

          ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตามลำดับ

          ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย
มาตรฐานสายพันธุ์

          ถิ่นกำเนิด   ประเทศจีน
          กลุ่ม   Toy
          หัว   หัวกะโหลกมีลักษณะกลม ขนาดใหญ่ หนังบริเวณหน้าผากมีรอยย่นมาก
          หู   ขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง มีหู 2 ชนิด คือหูตูบแบบบูลด็อก และหูพับแบบลูกกระดุม แต่จะนิยมหูพับมากกว่า
          ตา   ดวงตากลมโต สีเข้ม
          ปากสั้น   รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส กรามล่างจะยื่นออก
          จมูก   สั้น สีด
          ฟัน   ขบกันแบบกรรไกร
          ลำตัว   สั้น หลังตรง ล่ำสัน และมีกล้ามเนื้อแข็งแรง
          คอ   สั้น โค้งเล็กน้อย
          อก   กว้าง
          ขา   ขาหน้าเหยียดตรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ความยาวปานกลาง เท้าไม่กลมเหมือนเท้าแมว เล็บสีดำ
          หาง หางชี้ขึ้นด้านบน แต่ลักษณะม้วนเป็นวงจนติดบั้นเอว หากม้วนได้ 2 รอบ ถือว่าเป็นลักษณะที่สมบูรณ์
          ขน   สั้นละเอียดเป็นประกาย ไม่ปุกปุย
          สี   สีน้ำตาลแบบลูกวัว สีเงิน หรือสีดำ มีาร์คกิ้งสีดำที่หน้าและใบหู
          ขนาด   สูง 10-11 นิ้ว น้ำหนัก 6.5 - 8.2 กิโลกรัม
          การเดิน และการวิ่ง   คล่องแคล่ว ปราดเปรียว
          ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง   หัวกะโหลกเล็ก ช่วงปากยาว ตาเล็ก รอยย่นเห็นไม่ชัด
          ช่วยชีวิตเฉลี่ย   12 - 14 ปี
7 ก้าวเดินตามรอยเท้า... หมาปั๊ก
ก้าวที่ 1 : กว่าจะมีวันนี้

          สุนัขพันธุ์ปั๊กเป็นสุนัขที่เก่าแก่สายพันธุ์หนึ่ง มีกำเนิดมาจากประเทศจีนมาตั้งแต่ 400 ปี ก่อนคริสตกาล ในสมัยโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในวัดจีน ต่อมาเริ่มมีการนำออกไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก่อนจะเริ่มแพร่หลายไปยังหลาย ๆ ประเทศในแถบทวีปยุโรป

          ในประเทศฮอลแลนด์ สุนัขสายพันธุ์ปั๊กได้รับการยอมรับ และให้เกียรติเป็นอย่างมากเนื่องจากในอดีตมีสุนัขพันธุ์นี้ตัวหนึ่ง เคยช่วยชีวิตของเจ้าชายวิลเลียม โดยการเตือนให้พระองค์ทรงทราบว่าทหารของกองทัพของสเปนได้แอบลอบเข้ามาใกล้แล้วนั่นเอง

          ส่วนในประเทศฝรั่งในปี ค.ศ.1790 พระมเหสีของนโปเลียน ผู้นำประเทศฝรั่งเศสในยุคนั้นได้ซ่อนจดหมายไว้ที่ปลอกคอของปั๊ก  แล้วให้มันนำไปแจ้งข่าวสารต่อนโปเลียน เพื่อบอกกับนโปเลียนว่าพระนางถูกจับขังไวที่ Les Carmes

          จากวีรกรรมทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้เอง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้น ก่อนจะถูกพัฒนาสายพันธุ์จนกลายเป็นรูปแบบของปั๊กที่สมบูรณ์แบบในประเทศอังกฤษ ต่อมา ปั๊ก เริ่มเป็นที่นิยมในประเทศอังกฤษมากขึ้น แต่จากจำนวนของสุนัขในกลุ่มทอยอื่น ๆ ที่ทวีจำนวนขึ้น ทำให้ความนิยมในตัวปั๊ก เริ่มลดลงตามลำดับ จนเกือบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นเองพระเจ้าจอร์จที่ 3 ได้ทรงนำเข้าปั๊กจากประเทศฮอลแลนด์และออสเตรีย ทำให้เขาสามารถช่วยดำรงสายพันธุ์ปั๊กไว้ในประเทศอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน

 ก้าวที่ 2 : ลักษณะทั่วไปของ หมาปั๊ก

          ปั๊ก เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนาดร่างกายเล็กปานกลาง หน้าสั้นและย่นแลดูทะเล้นน่ารัก ใบหูพับตก และมีขนสั้นเกรียน หางมีลักษณะบิดเป็นเกลียวชี้ขึ้นม้วนจนเป็นวงติดกับบั้นเอง ถ้าหางหางม้วนได้ถึงสองตลบจัดว่าเป็นลักษณะที่สวยสมบูรณ์ที่สุด หายใจและกรนเสียงดัง

          สำหรับสัดส่วนของ หมาปั๊ก ถูกผสมพันธุ์ออกมาจนได้รูปร่างที่กะทัดรัดเป็นสี่เหลี่ยมจัดตุรัส ตัน และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หัวมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ชิดขึ้นเล็กน้อย ตากลมยื่นออกมาแลดูอ่อนโยน มีสีดำเป็นประกาย หูสั้นตกลงข้างหัว มีความนุ่มคล้ายกำมะหยี่ คอสั้นโค้งเล็กน้อย ขาหน้าเหยียดตรง มีขนสั้นละเอียดเป็นประกาย มีสีเหลืองแอปริคอท มีมาร์คกิ้งสีดำที่หน้าและใบหู

          สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของเขาจะดูเหมือนคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อน ปั๊กจะทนไม่ค่อยได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
ก้าวที่ 3 : เกาะติดนิสัย หมาปั๊ก

          ธรรมชาติของ หมาปั๊ก จะเป็นสุนัขที่มีลักษณะเป็นมิตร ปราดเปรียว ว่องไว อารมณ์ดี อยากรู้อยากเห็น ชอบเข้าสังคม มีความนุ่มนวล แต่บางครั้งอาจมีความตื่นตัวและมีพละกำลังในการเล่นมาก ไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกับสุนัขตัวอื่น ๆ มีความซื่้อสัตย์ต่อเจ้าของ ชอบพบปะทักทายกับคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือคนแปลกหน้า มีความฉลาดในระดับปานกลาง

          แม้จะเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่ชอบเข้าสังคม แต่ปั๊กก็เป็นสุนัขที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ดื้อรั้น แต่เข้มแข็ง มันมีนิสัยชอบเอาชนะ และเด็ดเดี่ยวมากพอตัวทีเดียว

 ก้าวที่ 4 : ความต้องการการดูแลเอาใจใส่

          โดยส่วนมากสุนัขพันธุ์นี้จะขี้เกียจ หากปล่อยให้อยู่ตามลำพังหรือไม่มีอุปกรณ์ฝึกเขา จึงควรพาเขาไปเดินเล่นหรือเล่นเกมโยนของไปให้เขาเก็บทุกวัน แต่อย่าให้เขาออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วงที่มีอากาศร้อน หรือหลังกินอาหารเสร็จ

          แม้สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ต้องการการดุแลเสริมสวยให้ยุ่งยากมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาความสะอาดทุกวัน อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของการออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ปัก๊กจะไม่ใช่สุนัขที่รักกีฬา แต่การพาเขาไปออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยให้เขาไม่อ้วนและกลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาจนเกินไป

 ก้าวที่ 5 : ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม

          เจ้าของที่สมบูรณ์แบบของ หมาปั๊ก จะต้องมีอุปนิสัยอ่อนโยน คอยดูแลเอาใจใส่เขา เหมาะมากสำหรับเจ้าของที่ชอบความสงบเงียบ และคนที่ต้องการสุนัขที่เลี้ยงไม่ยาก สำหรับบ้านที่มีพื้นที่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพักหรือคอนโดมิเนียมก็สามารถเลี้ยงปั๊กได้อย่างสบาย ๆ เนื่องจากรูปร่างที่เล็ก ไม่ใหญ่เทอะทะ ทำให้ปั๊ก ไม่ต้องการพื้นที่เลี้ยงดูมากนัก

 ก้าวที่ 6 : ข้อควรระวัง

          เนื่องจากรูปทรงของตาและใบหน้าทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้าปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น เขาจึงมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ

          นอกจากนี้ ปั๊กยังมีความเสี่ยงที่จะอ้วนได้ง่าย ดังนั้น การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างกะโหลกศีรษะที่สั้น ส่งผลให้ปั๊ก มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือภายหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป และการเลี้ยงดูในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง

 ก้าวที่ 7 : โรคและความผิดปกติที่พบได้

           ความผิดปกติต่าง ๆ ของนัยน์ตา เช่น หนังตาม้วน โรคตาแห้ง กระจกตาอักเสบ แผลหลุมบริเวณกระจกตา

           ความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ กลุ่มอาการผิดปกติของท่อทางเดินหายใจส่วนต้น ในสุนัขสายพันธุ์ที่มีใบหน้าสั้น

           ระบบทางเดินสืบพันธุ์ ได้แก่ ภาวะคลอดยาก เนื่องจากขนาดหัว และช่วงไหล่ของลูกสุนัขมีขนาดใหญ่นั่นเอง

พุดเดิ้ล


3. พุดเดิ้ล
          สุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลได้ชื่อว่าเป็นสุนัขที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลกและขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ลสายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลาย ๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เร็ว
 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล
          พุดเดิ้ล ถูกจัดอยู่กลุ่ม สุนัข ที่ไม่ใช้ในเกมกีฬา (Non sporting Group) เป็นสุนัขประเภทสวยงาม ปากเรียวยาว ดวงตากลมโต หูห้อยลงมาปิดแก้ม ขนดกและหยิกชนิดติดหนัง ขนสั้นและเงางาม ขนค่อนข้างละเอียด เรียบ หยาบเล็กน้อยและไม่มีขนปุกปุย สีขนมีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลแก่ มีขนสีขาวแต้มบริเวณหน้าอกเรียกว่า สตาร์ ข้อเท้า และปลายหาง อาจจะมีจุดสีขาวเล็กน้อยบริเวณใบหน้า จมูกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมันตกใจ
 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์พุดเดิ้ล
          อาหารการกินของสุนัขพุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะพุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก
          นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้อาหารสุนัขยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่าง ๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของพุดเดิ้ลจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะพุดเดิ้ลมีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อย ๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาที เพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้
          นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ลส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของพูเดิ้ลด้วยว่ามีฝ้าขาว ๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

ปั๊ก


3. ปั๊ก

          ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตามลำดับ

          ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย

 ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมทั่วไปของสุนัขพันธุ์ปั๊ก
           สุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน มากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของเขาจะดูเหมือนคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อน ปั๊กจะทนไม่ค่อยได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด

 การเลี้ยงดูสุนัขพันธฺุ์ปั๊ก
         แม้สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ต้องการการ ดูแลเสริมสวยให้ยุ่งยากมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาความสะอาดทุกวัน อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของการออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ปั๊กจะไม่ใช่สุนัขที่รักกีฬา แต่การพาเขาไปออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยให้เขาไม่อ้วนและกลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาจนเกินไป

         เนื่องจากรูปทรงของตาและใบหน้าทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการบาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้าปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น เขาจึงมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ

          นอกจากนี้ ปั๊กยังมีความเสี่ยงที่จะอ้วนได้ง่าย ดังนั้น การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างกะโหลกศีรษะที่สั้น ส่งผลให้ปั๊ก มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือภายหลังการออกกำลังกายอย่าง หนัก จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป และการเลี้ยงดูในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง

ความรู้รอบตัว ปอมเมอเรเนีน

 หากพูดถึง สุนัข ตัวเล็กๆ ขนฟูๆ หางเป็นพวง จมูกแหลมๆ ตาแป๋วเป็นประกาย แน่นอนว่าสุนัขที่ว่านี้คือพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน  ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องขอจับ ขอสัมผัส ความน่ารักกันใกล้ๆ แต่ที่เห็นน่ารัก ดูบอบบางเหมือนคุณหนูแบบนี้ แท้จริงแล้ว ปอมเมอเรเนียน มีต้นตระกูลมาจาก สุนัข ลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และเลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรปโน่นแน่ะ
          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่ชอบเอาใจใส่กับสิ่งภายนอก เฉลียวฉลาด เหมาะสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนพอๆ กับเลี้ยงเพื่อการแข่งขัน ชื่อของ ปอมเมอเรเนียน มาจาก Pomeranian ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์และประเทศเยอรมันตะวันออก เหนือแถบทะเลบอลติก โดยแต่เดิมนั้น ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข พันธุ์ใหญ่ที่ใช้ลากเลื่อนและเฝ้าฝูงแกะ มีรายงานว่า ปอมเมอเรเนียน ที่ถูกนำเข้ามาในอังกฤษตัวแรกมีน้ำหนักถึง 30 ปอนด์ แต่ต่อมาได้มีผู้ผสมพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน ให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคู่ใจแทนการใช้งาน

          ทั้งนี้ ปอมเมอเรเนียน เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อสมเด็จพระราชินี วิคเตอเรีย แห่งอังกฤษ ทรงไปพบ สุนัข พันธุ์นี้และนำกลับมาเลี้ยงในพระราชวังด้วย ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าควีนวิคตอเรียทรงโปรด สุนัข ปอมเมอเรเนียน มาก แม้กระทั่งวันที่สิ้นพระชนม์ยังทรงให้เอาเจ้า Turi สุนัข ปอมเมอเรเนียน ตัวโปรดมาไว้ข้างพระแท่นบรรทม และเจ้า Turi นี้ก็ได้นอนเฝ้าอยู่จนควีนสิ้นพระชนม์ จึงทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่ทำให้สาธารณชนรู้จักและนิยมเลี้ยง ปอมเมอเรเนียน ตัวเล็ก

          อย่างไรก็ตาม ปอมเมอเรเนียน ที่ถูกพัฒนาจนเล็กลงอย่างที่นิยมเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลงานการพัฒนาของนักผสมพันธุ์ สุนัข ชาวอเมริกา จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปอมเมอเรเนียน สายพันธุ์จากอเมริกาได้รับการยอมรับให้เป็นสายพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด 
ลักษณะสายพันธุ์ สุนัข ปอมเมอเรเนียน
          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4-6 ปอนด์ หรือราว 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้านำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์  เป็น สุนัข ที่ว่องไวปราดเปรียว มีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม และมีขนชั้นนอกที่หยาบกว่าชั้นใน หางสวยงามเป็นพวงขน และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง หางจะขนานไปกับหลัง โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของ ปอมเมอเรเนียน นี้ คือ จะตื่นตัวเสมอ เห่าเก่ง  มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นพันธุ์สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว
           ศีรษะ 
          ศีรษะจะสมดุลได้สัดส่วนกับลำตัว จมูกยาวเล็กน้อย ตรง มองเห็นชัดเจน ปลายจมูกเชิดเป็นอิสระจากริมฝีปาก การแสดงออกของใบหน้าจะสดใส ร่าเริง คล้ายใบหน้า สุนัข จิ้งจอก หรืออีกนัยหนึ่งคือใบหน้าที่ฉลาดแกมโกง เจ้าเล่ห์ กะโหลกจะปิดสนิท ด้านบนสุดของกะโหลกจะกลมเล็กน้อย แต่ไม่เป็นรูปโดมซะทีเดียว เมื่อมองจากด้านหน้าและด้านข้าง จะเห็นใบหูที่ค่อนข้างเล็ก เชิดสูงและตั้งตรงเสมอ เมื่อลากเส้นผ่านปลายจมูกไปยังตรงกลางตาไปยังปลายหูจะได้เส้นตรง นัยน์ตาเป็นสีดำ แววตาสดใสรูปร่างอัลมอนด์ ขนาดปานกลางตั้งอยู่ในตำแหน่งตัวกับกะโหลก นัยน์ตาค่อนข้างชัดเจน ขอบตาและจมูกต้องเป็นสีดำ ยกเว้น ปอมเมอเรเนียน สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน (เทา) ฟันสบกันแบบกรรไกร ถ้ามีฟันซี่ใดซี่หนึ่งไม่ตรงก็ยอมรับได้
           ลำตัว ลำคอ
          ลำคอสั้น โดยศีรษะแทบจะติดกับไหล่ ส่วนหลังนั้น ลำตัวกระชับและกะทัดรัด มีซี่โครงและช่วงอกที่ทำงานได้ดี โดยยื่นไปถึงข้อศอก หางดีเป็นพวง เป็นลักษณะเฉพาะพันธุ์ โดยจะขนานไปกับลำตัวส่วนหลัง
           ลำตัวส่วนหน้า
          ลำตัวส่วนหลังจะเป็นตัวชูให้ลำคอ และศีรษะอยู่สูง แสดงถึงความผ่าเผย ไหล่และขามีกล้ามเนื้อปานกลาง ความยาวของใบไหล่ และต้นแขนจะเท่ากัน ขาหน้าจะตรงและขนานกับความสูงจากศอกถึงตะโหนก เท่ากับความสูงจากศอกถึงพื้น ข้อเท้าตรงและแข็งแรง เท้าได้รูปหุบสนิท ไม่บิดเข้าหรือบิดออก ขณะยืนจะรับน้ำหนักตัวได้ดี อาจต้องมีการตัดนิ้วติ่ง
           ลำตัวส่วนท้าย
          มุมของลำตัวส่วนท้ายจะสมดุลกับลำตัวส่วนหน้า สะโพกสวย ต้นขามีกล้ามเนื้อปานกลาง ข้อเท้าบิดเล็กน้อย ข้อเท้าได้ฉากกับพื้น และขาจะตรงและขนานกับอีกข้าง ขอบเท้าชัดเจน เท้าหุบสนิท ไม่บิดเข้าหรือบิดออก สุนัขยืนอยู่บนนิ้วเท้าได้อย่างดี อาจต้องมีการตัดนิ้วติ่ง 
           การก้าวย่าง และเคลื่อนไหว
          ปอมเมอเรเนียน มีการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล เป็นอิสระ สมดุลและกระฉับกระเฉง มีแรงส่งตัวไปด้านหน้าได้ดี เพราะมีแรงขับจากลำตัวส่วนท้าย ขาหลังจะเดินตามรอยขาหน้าในข้างเดียวกัน เป็นการเดินและเคลื่อนไหวที่สมดุล ขณะเคลื่อนไหวจะไม่มีการเหวี่ยงเท้าเข้าหรือออกจากลำตัว ลำตัวด้านบนยังคงได้ระดับ ซึ่งดูแล้วลักษณะทั้งหมดจะสมดุล
           ขนและสีขน
          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่มีขนสองชั้น ขนชั้นในนิ่มและแน่น ขนชั้นนอกจะยาวตรงหยาบกว่า แต่จะส่องแสงแวววาว ขนชั้นในจะหนาเพื่อปกป้องลำตัวของ สุนัข โดยขนจะแน่นตั้งแต่ลำคอ ไหล่ และอก ขนชั้นนอกบริเวณไหล่ อก ค่อนข้างมาก ขนบริเวณศีรษะและขาจะน้อยและสั้นกว่าส่วนอื่น (โดยเฉพาะลำตัวและไหล่จะยาวที่สุด) ลำตัวส่วนหน้าจะมีขนปกคลุมไปจนถึงข้อเท้าหางจะมีขนชั้นนอกที่ยาว แข็ง ปกคลุม อาจต้องมีการตัดเล็มขนบ้างซึ่งยอมรับได้
          ส่วนมีสีขนของ ปอมเมอเรเนียน จะมีหลายสี หลายแบบ เช่น ดำและน้ำตาล สีผสมหรือสีทองออกส้ม สีขาว ที่มีสีอื่นร่วมบริเวณศีรษะ หรืออีกประเภทที่เรียกว่า open elasses คือจะมีสีแดง สีส้ม สีครีม สีดำ สีน้ำตาล สีเทา เป็นต้น
อาหารและการเลี้ยงดู ปอมเมอเรเนียน
          การดูแลขนของ ปอมเมอเรเนียน ต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของ ปอมเมอเรเนียน ต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว ส่วนการดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอาบน้ำให้ ปอมเมอเรเนียน บ่อยมากจนเกินไป เพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเแห้งจนเกินไป เนื่องจากน้ำมันที่จำเป็นถูกล้างออกไปหมด 
          นอกจากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับ สุนัข ปอมเมอเรเนียน คือการได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจาก ปอมเมอเรเนียน ง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาสุขภาพปากและฟัน
โรคและวิธีป้องกัน
          สุนัข แต่ละพันธุ์มีโรคประจำที่แตกต่างกันออกไป เช่น สุนัข พันธุ์โกลเด้น ก็มีปัญหาโรคข้อสะโพกเสื่อม สุนัข พันธุ์คอกเกอร์ สเปเนียล ก็พบปัญหาเรื่องโรคหูอักเสบ สุนัข พันธุ์พุดเดิ้ลก็มีปัญหาโรคหัวใจโต สุนัข พันธุ์ดัลเมเชี่ยนก็เจอโรคหูหนวก สุนัข พันธุ์ดัชชุน ก็มีปัญหาโรคหมอนรองกระดูก ฯลฯ ปอมเมอเรเนียน ก็มีปัญหาเหมือนกัน โดยมี 4 โรคที่ ปอมเมอเรเนียน พึงสังวรไว้ คือ

          1. โรคลูกสะบ้าเคลื่อน โรคนี้พบได้บ่อยสุด คือ มีอาการเจ็บเข่าจนต้องยกขาไม่ลง ถ้าไม่เป็นมาก ก็รักษาด้วยการกินยา แต่ถ้าเป็นมากต้องพึ่งหมอผ่าตัด  อย่างไรก็ดี โรคนี้ป้องกันได้โดยอย่าปล่อยให้ ปอมเมอเรเนียน ของเราอ้วนเกินไป และคอยดูแลไม่ให้เขาหล่นหรือโดดลงจากที่สูง ส่วนสถานที่ที่เลี้ยงนั้นไม่ควรเป็นพื้นลื่นจำพวกกระเบื้อง พื้นหินขัด,หินอ่อน หรือแกรนิต ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้ ปอมเมอเรเนียน ที่มีปัญหาลูกสะบ้าขยายพันธุ์ 

          2. โรคหลอดลมตับ เป็นอีกโรคมักพบบ่อยๆ ใน ปอมเมอเรเนียน อาการที่พบ คือ ไอแห้งๆ เสียงดังมาก ซึ่งพบบ่อยเวลาที่ตื่นเต้นหรืออากาศเย็น ดังนั้น จึงอย่าปล่อยให้มันอ้วนเกินไป และพยายามอย่าให้เขาอยู่ในที่ที่อากาศร้อนและชื้นเกินไป และที่สำคัญเวลาจูงเดินเล่นควรใช้สายจูงชนิดสายรัดอก แทนสายจูงกับปลอกคอหรือโซ่คอ

          3. ขนร่วง ปัญหาโรคขนร่วงที่พยบ่อยใน ปอมเมอเรเนียน ก็คือโรค Black Skin หรือ BSD ซึ่งทำให้ผิวหนังไม่มีขนและมีจี้ดำ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ,ZEMA,ไรขี้เรื้อนและเชื้อรา ซึ่งวิธีแก้ไข คือ ควรรีบพา สุนัข ที่มีปัญหาโรคผิวแห้งไปพบสัตว์แพทย์โดยเร็ว

          4. โรคหนังตาม้วนเข้า โรคนี้สามารถพบใน สุนัข ปอมเมอเรเนียน แต่ไม่พบบ่อยเหมือน สุนัข พันธุ์เชาว์-เชาว์ หรือชาร์ไป ซึ่งวิธีแก้ไขคือต้องทำการผ่าตัดโดยสัตวแพทย์

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

คลังบทความของบล็อก

ค้นหาบล็อกนี้